Summary
ถึง ยอร์ช ฤกษ์ชัย จะอยากให้คนจดจำเขาเพียงแค่ ‘คนทำหนังตลก’ แต่คงน่าเสียดายแย่ถ้าแฟนหนังไม่รู้ว่ายอร์ชคนเดียวกันนี้ คือ โพรดิวเซอร์ที่ชอบเข้าห้องตัดต่อ สนุกกับการคิดพล็อตและเขียนบท เป็นคุณพ่อที่สวมบทลิงอุลังอุตัง และมีอาชีพในฝันที่ยังฝันอยู่
“พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า” “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” “โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า” “โหดหน้าเหี่ยว 966” “32 ธันวา” “สุดเขต เสลดเป็ด “ส.ค.ส. สวีทตี้” “วาเลนไทน์ สวีทตี้” “คุณนายโฮ”… นี่คือส่วนหนึ่งของ ‘หนังตลก’ ที่ใครเห็นก็รู้ว่า “หนังทางนี้” มีแต่ ยอร์ช – ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ เจ้าสำนักภาพยนตร์ รฤก สตูดิโอ เท่านั้นที่กำกับได้
ถึงวันนี้เขาจะขยับไปนั่งเก้าอี้โพรดิวเซอร์เต็มตัว แต่มวลความสนุกของหนังตลกแบบ “ยอร์ชกำกับ” ไม่ได้เลือนหาย…ให้หนัง “จำเนียรวิเวียนโตมร” และ “ไบค์แมน ศักรินทร์ตูดหมึก” เป็นตัวอย่าง ส่วน “มานะแมน” หนังแอ็กชันคอมเมดีเรื่องล่าสุด ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ผู้ชายคนนี้รับหน้าที่เป็นโพรดิวเซอร์ (และมอบหมายให้ ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ ผู้เคยมีผลงานอย่างหนังจอมขมังเวทย์ทำหน้าที่กำกับ) อีกทั้งในปีนี้เรายังจะได้ดู “ศึกค้างคาวกินกล้วย” หนังพีเรียด คอมเมดี ที่จับมือกับบริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด และ “404 สุขีนิรันดร์ Run Run” การทำงานร่วมกันครั้งแรกของเขากับค่ายหนังดังอีกแห่ง อย่าง GDH
นั่นจะยิ่งทำให้คนจดจำเขาในฐานะ ‘คนทำหนังตลก’ ซึ่งเขาเองก็ต้องการเช่นนั้น ที่สำคัญเรื่องราวที่เขาเล่าถึงหนังไทยในฐานะ Soft Power และเป็นเสมือน “พลังคนไทย” ในบทสัมภาษณ์นี้…น่าสนใจมากๆ
Thaipower.co: คำว่า ‘คนทำหนังตลก’ สร้างความกดดันให้ต้องรักษามาตรฐานความตลกบ้างไหม
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “ไม่เชิงกดดัน แต่ก็พยายามรักษามาตรฐาน คัดกรองคำแนะนำดีเป็นบทเรียน และพยายามพิสูจน์ให้รู้ว่าทุกสิ่งที่ทำ เราตั้งใจ”
Thaipower.co: อะไรคือมาตรฐานที่คุณตั้งไว้
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “คล้ายๆ มาตรฐานของคนทั่วไป เหมือนสั่งของออนไลน์เปิดกล่องมาแล้วไม่แตกหัก ใช้ดีระดับไหนอีกเรื่องแต่ต้องไม่ห่วย ถ้าเป็นหนัง สิ่งที่ตัดสินว่าผ่านมาตรฐานคือ ‘ดูรู้เรื่อง’ แต่จะชอบไหม สนุกมากน้อย อันนี้เป็นเรื่องรสนิยม ยิ่งเป็นโพรดิวเซอร์ต้องบาลานซ์ระหว่างผู้กำกับกับคนลงทุน มาตรฐานฟากคนทำหนังต้องดูรู้เรื่อง ส่วนผู้ลงทุนเราต้องทำให้ไม่เจ๊ง”
“เรามีประโยชน์ในจุดไหน ก็ควรพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดนั้น”
Thaipower.co: ทำไมถึงตัดสินใจเป็นโพรดิวเซอร์
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “น่าจะเป็นจังหวะที่เริ่มอยากดูหนังของคนรุ่นใหม่ๆ พอเป็นผู้กำกับควบคู่โพรดิวเซอร์สักระยะ จะรู้ว่าคัดกรองสิ่งดีและไม่ดีไว้จำนวนหนึ่ง แล้วกลับมามองว่าเรามีประโยชน์จุดไหน ใช้ประโยชน์นั้น ซัปพอร์ตคนรุ่นใหม่ ยิ่งถ้าอยากขยายผลให้งานที่ออฟฟิศมีมากขึ้น ยิ่งไม่ควรทำคนเดียว ควรมีเด็กรุ่นใหม่มาทำ”
“เรื่องแรกคือ ‘ป้าแฮปปี้ she ท่าเยอะ’ ถือเป็นโพรดิวเซอร์ฝึกหัดเพราะยังแยกหน้าที่ไม่ออกจากผู้กำกับ เขากำกับยังไปยืนช่วยเขาตัดสินใจ ซึ่งจริงๆ ไม่ดี จนวันหนึ่งรู้ว่าตัวเองควรทำหน้าที่แบบไหนก็ถอยออกมา”
ขอบคุณภาพจากคุณฤกษ์ชัย
ฝากถึงผู้กำกับรุ่นใหม่:
ทุกครั้งที่กำกับนึกเสมอว่านี้คือครั้งแรกที่ขึ้นชก
ต่อยให้เหมือนจะไม่ได้ต่อยอีกแล้ว และทำให้สุดเท่าที่มีความสามารถ
ฝากถึงคนเขียนบท:
คิดให้เยอะ อย่าลืมว่าคนดูฉลาด เขารู้ว่าอะไรดี ไม่ดี
Thaipower.co: จะกลับมากำกับหนังอีกไหม
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “ไม่ได้จะไม่เป็นผู้กำกับแล้วนะ แต่มันหยุดยาวจนคนเข้าใจว่าจะไม่เป็นผู้กำกับแล้ว ยังมีหนังที่อยากทำตั้งแต่เด็กๆ แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบอีกเยอะ และน่าจะต้องใช้เวลามากเพราะอยากมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนตั้งแต่เขียนบท กำกับ ตัดต่อ ไปจนถึงคอสตูม”
Thaipower.co: ถ้าเลือกได้ระหว่าง ‘โพรดิวเซอร์ – ผู้กำกับ – คนเขียนบท’ อยากทำหน้าที่ไหนที่สุด
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “เขียนบท ทำพล็อต จริงๆ งานกำกับก็ชอบแต่ชอบ ‘คิดเรื่อง’ มากกว่า ถึงทำหน้าที่เป็นครีเอทิฟของทั้ง 4 บริษัท (รฤก โปรดักชัน, สวนสนุก สตูดิโอ, แฮปปี้ แมน สตูดิโอ และ แรพปี้ แรพ เฮ้าส์) เรื่อง “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” เป็นเรื่องที่เริ่มเขียนบทร่วม ตั้งแต่ “โหดหน้าเหี่ยว 966” เขียนบทเองทั้งหมด เขียนมือด้วยเพราะเป็นคนพิมพ์คอมพ์ช้า”
Thaipower.co: เวลาเขียนบท รู้ได้ยังไงว่ามุกนี้โดน
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “แอ็กติ้งในใจ แสดงไม่เป็นแต่ท่องเป็นภาพในใจได้ สมมติโก๊ะตี๋เจอผีในส้วม ก็จินตนาการในใจ ช็อตนี้มาก่อน ผีมาแล้วกลัว กลัวไม่ไหวแล้วแต่ผียังไม่ไปไหน โกรธแม่งเลย ก็ยังไม่ไปไหน ร้องไห้ใส่มันเลย”
Thaipower.co: แต่ความตลกมันอยู่ในไดอะล็อกด้วย เอาคลังคำมาจากไหน
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “อาจเพราะเด็กๆ ได้ทำงานเขียนเรื่องขำขันในหนังสือตลาดตลก ต้องใช้คำเยอะ ชอบฟังและสังเกตคน อย่าง “หน้าตาไม่หล่อแต่หัวใจหล่อมาก” เรื่อง “สุดเขตฯ” คำพวกนี้ได้มาจากผู้หญิง เขาไม่ได้บอกมาเป็นคำตรงๆ แต่เขาบอกไม่เลือกผู้ชายหล่อแต่เลือกคนที่จิตใจดี ในบทพอพูดว่าใจหล่อมันน่ารักดี”
“ยุคหลังๆ ถ้าจะหาคำใหม่ต้องคุยกับเด็กรุ่นใหม่หรือดูจากโซเชียล ยุคของคำเปลี่ยนไปเยอะ เช่น “แกไปร้านนี้ไหมมันลักซ์ชูมากเลย” เด็กยุคนี้เขาเอาคำที่มีความหมายถูกมาประยุกต์เล็กน้อยกลายเป็นคำใหม่ที่เจ๋งดี”
Thaipower.co: ความยากง่ายของการเป็นผู้กำกับที่เขียนบทด้วย คืออะไร
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “ตรงงานมันเยอะขึ้น ง่ายคงเป็นเรื่องเวลาทำงานเราแก้บทได้เลย เพราะคิดเอง เขียนเอง กำกับเอง จะรู้ว่าอะไรคือ แกนเรื่อง อะไรคือน้ำจิ้ม”
Suggestion
ใน “ดวงใจ” ของนักทำหนังชื่อ “ยอร์ช”
หนังตลกในดวงใจ:
บุปผาราตรี ภาค 1
นักแสดงตลกในดวงใจ:
ค่อม ชวนชื่น
คำจำกัดความหนังชีวิตของยอร์ช:
คอมเมดี ดราม่า เหมือน ‘แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า’
ถ้ามนุษย์เลือกอาชีพได้ตามใจ:
อยากเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพ
หรือไม่ก็นักดนตรีกลางคืนตามร้านอาหาร
Thaipower.co: ช่วงไอเดียพุ่งสำหรับคนทำงานศิลปะของคุณคือช่วงเวลาไหน
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “ยุคพยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า แสบสนิทฯ โปงลางสะดิ้งฯ โหดหน้าเหี่ยวฯ ไอเดียมาตอนนั่งส้วม…นั่งนานถึงขั้นเป็นริดสีดวง พอยุค “32 ธันวาฯ” เริ่มไปหาไอเดียตามคาเฟ่ ไปเชียงใหม่นั่งร้านกาแฟสังเกตคน ส่วน ‘สุดเขตฯ’ ไปนั่งร้านเหล้า เข้าไปคุยมันก็จะได้เหตุผลน่ารักๆ มาเป็นไอเดีย” “แต่เรื่อง ‘ไบค์แมนฯ’ ไอเดียมาตอนกึ่งฝันกึ่งตื่น เหมือนสมองตื่นมาทำงานหลังพักเต็มอิ่ม เช้ามานัดประชุมกับตุ๋ย (พฤกษ์ เอมะรุจิ) ผู้กำกับเลยว่าเรื่องนี้ได้”
Thaipower.co: หนังในดวงใจของคุณคือเรื่องอะไร
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า ไม่ได้ชอบเพราะมันดีแต่ชอบเพราะมันเพียวมาก เป็นเหมือนบทที่ 1 ของการทำงานในฐานะผู้กำกับ เป็นการต่อสู้ของคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจวิธีทำภาพยนตร์ ไม่รู้วิธีบรีฟทีมงานหน้ากอง ทุกอย่างตอนนั้นสดใหม่ ทุกคนในวันนั้นคือครู เป็นโมเมนต์ที่เหมือนฝันดีและฝันร้ายตีกันในสมองตลอดเวลา เลยเป็นชิ้นงานที่ประทับใจที่สุด และจะอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ”
Thaipower.co: เคยย้อนกลับไปดูงานตัวเองไหม
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “เขิน ดูไม่ได้ เป็นมนุษย์อ่านอดีตไม่ได้ ดูรูปขาวดำเก่าๆ ไม่ได้ ดูแล้วมันดึงเรากลับไปอยู่ในโมเมนต์นั้นๆ จะคิดถึงบุคคลเหล่านั้น จะดูแค่ตอนที่หนังฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ไม่ใช่คนที่จะมานั่งตรวจหนังตัวเองว่าเมื่อก่อนยังไม่พัฒนาอะไร แต่ทุกครั้งหลังเสร็จงานจะเลกเชอร์ในใจว่าเราพลาดอะไร”
“ความเสียใจที่มันไม่ประสบความสำเร็จหรือความผิดพลาดของเราเป็นสิ่งที่ควรมี
และเอาสิ่งนั้นมาตกตะกอนซะก่อนแล้วค่อยเริ่มใหม่”
ขอบคุณภาพจากคุณฤกษ์ชัย
“โพรดิวเซอร์ควรจะเป็นคนมีวิชาความรู้
และใช้มันให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย”
Suggestion
Thaipower.co: ดูเหมือนการเป็นโพรดิวเซอร์ทำให้คุณมองสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “มันอาจเปลี่ยนตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำบริษัท รฤกฯ พอโตขึ้นจากที่เคยลงแข่งเอง ก็อยากเป็นโค้ช คล้ายๆ ผู้จัดการทีมเห็นนักเตะฝีเท้าดีก็อยากชวนให้มาอยู่ในคอมมูนิตีเดียวกับเรา ก็ค่อนข้างขัดแย้งนะเวลาพูดถึงคนทำงานศิลปะและต้องมาทำธุรกิจ แต่เพราะมันมีความขัดแย้งนี่แหละ เลยต้องการคนแบบเรามาอยู่ตรงกลาง เราเข้าใจคนผลิตคอนเทนต์เพราะเคยเป็นคนตรงนั้น กับผู้ลงทุนก็เข้าใจว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร ส่วนตัวคิดว่า โพรดิวเซอร์ควรจะเป็นคนที่มีวิชาความรู้และใช้มันให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย”
Thaipower.co: การถอยออกมามองภาพกว้าง ทำให้คุณเห็นความเป็นไปได้ว่า หนังตลกไทย หรือ Thai Humor จะเป็น “พลังคนไทย” ก้าวสู่เวทีสากลได้หรือไม่
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “คนไทยเป็นคนติดตลก มันคือ Soft Power อย่างหนึ่ง พอเห็นหนังไทยหลายเรื่องประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ก็หวังให้หนังตลกไทยทำได้เช่นกัน แต่มันต้องมีคนสนับสนุนและเชื่อว่าสิ่งนี้ทำได้ ไม่ได้ร้องขอให้สนับสนุนเถอะเพราะเป็นของไทย แต่อยากให้ช่วยกันพัฒนาให้ดี ช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้สากลยอมดูสิ่งนี้ สมมติเป้าหมายของเราคือสร้างผลงานที่ต่างชาติยอมรับด้วย Soft Power ก็ต้องมาคิดว่าจะทำอะไรก่อน ส่วนตัวมองว่าต้องหาความสนุกก่อน พอหนังสนุกใครก็อยากดู แล้วค่อยหยอด Soft Power ตามลงไป ใช้ความสนุกเป็นเหมือนตัวล่อซื้อ เอาบีตแบบคนไทย โป๊งชึ่ง สามช่า ก็ได้แล้วเลือกสิ่งที่ต่างชาติเข้าใจ อย่างวิ่งหนีผีปอบลงตุ่ม ต่างชาติอาจขำได้นะโดยไม่ต้องพูดอะไร แต่ต้องทำภายใต้โพรดักชันที่ดี”
“ไม่เก่งต้องพยายาม
ไม่ใช่ว่าต้องเก่งที่สุด แต่ต้องเต็มที่ที่สุด”
Thaipower.co: ครอบครัวมีอิทธิพลต่องานและชีวิตของคุณไหม
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “คิดว่ามี ตอนเด็กๆ พ่ออยากให้เป็นหมอหรือไม่ก็วิศวกร อยากทำให้เขานะแต่เรียนไม่เก่ง มันทำให้ผมกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เหมือนถูกย้ำมาตลอดว่าเรียนไม่เก่ง แล้วดันไม่ได้จำว่าเรียนไม่เก่ง แต่จำคำว่า ‘ไม่เก่ง’
“ปัจจุบันก็ยังเป็น ความรู้สึกมันกลับมาทุกครั้งเวลาเริ่มทำอะไรใหม่ คิดว่าไม่มีทางที่จะถึงจุดที่ยอมรับว่าตัวเองเก่ง อาจเป็นข้อดีที่พ่อปลูกฝังเอาไว้ ไม่เก่งต้องพยายาม แต่ไม่ใช่ว่าต้องเก่งที่สุด แต่ต้องเต็มที่ที่สุด”
Thaipower.co: เหมือนที่คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากเก่งในสายตาลูก
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “คนอื่นบอกเราไม่เก่งเราเลือกจะไม่สนใจได้ แต่กลัวลูกจะมองว่าเราไม่เจ๋ง ความสำเร็จจากรายได้หนัง คำชมสิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเท่ากับความรู้สึกของลูก เราอยากเป็นพ่อที่เขาภูมิใจ”
“เราเป็นคนเรียนไม่เก่ง สอนวิชาเรียนไม่ได้ก็สอนวิชาเล่น พยายามส่งเขาไปอยู่ในโลกที่มีกติกา ให้เขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่า มันเป็นธรรมดาของการเล่นกีฬา กระทบกระทั่ง แพ้ ชนะ นี่คือโลกความเป็นจริง”
Thaipower.co: ลูกทำให้คุณค้นพบอะไรใหม่ๆ ในโลกใบเดิมบ้าง
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าผู้ปกครองต้องทำอะไรบ้าง จนวันนี้ถึงเข้าใจว่า การเป็นผู้ปกครองมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อเป็นแม่ แต่ได้เป็นลิงอุรังอุตังเกาะรั้วดูลูกเดินเข้าโรงเรียน ได้เป็นจิงโจ้เอาลูกใส่กระเป๋าหน้าท้อง ได้เป็นนักมวยปล้ำ ล็อกแขนขาลูกตอนพยาบาลฉีดยา นี่เป็นสิ่งใหม่สำหรับเรานะ ตอนยังไม่มีลูกทำแต่งาน ว่างก็ไปเล่นกีฬา ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ ยิ่งตอนเสียคนที่รักที่สุดในชีวิตไป ชีวิตก็ไม่ติดอยู่กับอะไรเลย ใช้ชีวิตวนลูปเดิม จนมีลูก มันคือสิ่งใหม่ๆ ในโลกใบเดิม บางเรื่องไม่เคยเข้าใจ มีด้วยเหรอตะคอกคนอื่นแต่เราเสียใจ ทุกวันนี้คือตะคอกลูกแต่เราดันเกลียดตัวเอง หรือการดูสารคดี ถ้าไม่มีลูกคงไม่ดู แต่เพราะเราสอนลูกเรื่องความรู้ไม่ได้ เลยออกกติกา ดูการ์ตูน 2 วัน ดูสารคดี 3 วัน เราก็นั่งดูกับเขา โดยให้เขาเป็นคนเลือกว่าอยากดูอะไร”
Thaipower.co: ภาพครอบครับที่สมบูรณ์แบบ
ยอร์ช ฤกษ์ชัย: “คำว่าครอบครัวในโลกของเรามี 3 ครอบครัว ครอบครัวแรกคือ พ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวที่สองคือภรรยาและลูก อีกครอบครัวคือน้องหุ้นส่วนที่ออฟฟิศ ขอให้ทั้ง 3 ครอบครัวนี้สุขภาพดีก็พอ”