“เปิดร้านที่ภูเก็ตปุ๊บ คนญี่ปุ่นเดินเข้าปั๊บ พอไปเปิดร้านอีกที่สมุย ญี่ปุ่นก็มากันเยอะ ตอนหลังได้รู้ว่าชื่อ AKALIKO มันไปพ้องเสียงกับภาษาญี่ปุ่น Akari แปลว่า แสงสว่าง พอมาเปิดที่ห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ จึงไม่แปลกใจที่แม่บ้านญี่ปุ่นแถวนั้นก็สนใจเรา”
คุณชัชวาล สันทัดกรการ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ อะกาลิโก (AKALIKO) เล่าถึงยุคแรกที่สร้างผลิตภัณฑ์ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน จากความถนัดเรื่องน้ำมันหอมระเหยและการบำบัดด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ทุกวันนี้สินค้าที่ตีโลโก้คล้ายตราประทับของแดนมังกร เป็นที่รู้จักว่าเป็นสินค้าไทยที่มีคุณภาพ “น่าแปลกใจที่ต่างชาติรู้ว่าเราเป็นสินค้าไทย แต่คนไทยคิดว่าเราเป็นสินค้านอก”
เมื่อรู้แล้วคงตราตรึง ดังคำว่า “อะกาลิโก” ในภาษาบาลีที่หมายถึง “ไม่ขึ้นกับกาลเวลา” เมื่อทนฝ่าฟันจากจุดเล็กๆ จนมีที่ยืนในใจผู้คนแล้ว…ยากที่จะเลือนหายไป
แรงบันดาลใจจากความเจ็บป่วย
จุดกำเนิดคือ คุณชัชวาลตกงานในยุควิกฤตต้มยำกุ้ง เลยมาลองช่วยพี่ท่านหนึ่งทำธุรกิจนำเข้าน้ำมันหอมระเหยจากออสเตรเลีย “เราก็มองว่ามันมีประโยชน์นะ แต่ยังรู้น้อยมาก แค่นำเข้ามาขายเท่านั้นเอง เห็นว่ามีน้ำมัน therapeutic grade กับน้ำมันหอมระเหยทั่วไป ก็เลยหาความรู้เพิ่มเติม”
หาหนังสือเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติบำบัดอาการเจ็บป่วยอ่าน หาข้อมูลจากเว็บไซต์ ในยุคนั้นราวปี 2540 อินเทอร์เน็ตบ้านเรายังไม่สมบูรณ์ คุณชัชวาลต้องศึกษายามดึกที่สัญญาณค่อนข้างไหลลื่น
ทำงานหนักจน…ไหล่ติด!!!
ต้องไปทำกายภาพบำบัด ระหว่างนั้นก็ปรึกษากับหมอ พอหมอรู้ว่าทำอาชีพขายน้ำมันหอมระเหย แกเปรยว่า ทำไมไม่ทำน้ำมันนวดมาใช้รักษาอาการตัวเอง “ก็ลองนำน้ำมันหอมระเหยที่เขาเบลนด์มาเรียบร้อยแล้ว ชื่อ stress relief มาผสมกับน้ำมันสำหรับนวด หมอก็จะทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ มีประคบร้อนประคบเย็น แล้วค่อยลงน้ำมันนวดแก้อาการ”
ในกระบวนการนวดมีท่าดัดแขนซึ่งเจ็บมาก แต่น้ำมันที่ใช้ไปเพิ่มความร้อนให้กับกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายทนเจ็บได้มากขึ้น จากที่เคยดัดไม่ได้ก็ทำได้มากขึ้น “ประมาณ 3 เดือนก็หาย หมอเองก็ยังบอกว่ามันเซอร์ไพรส์มาก เพราะปกติคนไหล่ติดต้องใช้เวลารักษาราว 6 เดือนขึ้นไป ทำให้เราเข้าใจคำว่า therapeutic ได้ชัดขึ้น”
เมื่อเห็นผลกับตัวเอง จึงมีแรงบันดาลใจในการสร้างผลิตภัณฑ์
Suggestion
ของดี…แต่ขายไม่ได้
ลองผสมน้ำมันนวด (Massage Oil) ออกมาวางขายร่วมกับน้ำมันหอมระเหยและเครื่องหอมที่ทำอยู่เดิม ปรากฏว่า “ขายไม่ได้..เพราะว่ามันแพง” แต่ก็ไม่หยุดแค่นั้น เรียนรู้จากลูกค้าว่าเขาใช้ผลิตภัณฑ์อะไร แล้วให้ผลอย่างไร เรียนรู้เรื่องราคา เรื่องวัตถุดิบใหม่ จัดการให้ลงตัวแบบที่น่าจะเป็น
“ลองนำน้ำมันเข้าไปประมูลกับสปาในโรงแรม 5 ดาวชื่อดังแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าเราผ่านทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเรื่องราคา เรื่องคุณภาพ เว้นแต่เราไม่มี Lab ไม่มีโรงงาน แม้จะไม่ได้งานนั้น แต่ก็เป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว”
พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาหลายชนิด ขายได้เรื่อย ๆ แต่น้ำมันนวดก็ยังไม่เข้าอันดับขายดี จนต้องกลับมาคิดใหม่ให้เป็น Body Oil น้ำมันที่ใช้บำรุงผิวไปเสียเลย เพราะลักษณะก็คล้ายกันมากอยู่แล้ว แล้วขยายไปทางลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหย และสายเครื่องหอมทั้งหลาย เพราะมี supplier น้ำหอมจากต่างประเทศที่ส่งให้กับแบรนด์ดัง ซึ่งเขาขายให้กับอะกาลิโกเจ้าเดียวในไทย ทำให้มีอัตลักษณ์โดดเด่น
“ก้านไม้หอมของเราขายดีมากกกก แทบผลิตไม่ทัน ครั้งหนึ่งเราไปออกงาน BIG ช่วงที่ห้างดังใจกลางสยามเพิ่งเปิด เขาก็ชวนเราเข้าไปขาย ตอนนั้นมีเพียง 6-7 แบรนด์เท่านั้น และเราก็ยังขายอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้” และไม่ได้หยุดแค่ที่นี่ ยังมีห้างสรรพสินค้าอีกหลายแห่งที่เราจะพบอะกาลิโกได้ “ใน คิง เพาเวอร์ ก็มีก้านไม้หอม มีมานานแล้ว และมีสินค้าอื่นๆ ด้วย แรกๆ เขาอาจคิดว่าเราไม่ใช่สินค้าไทยเลยไม่ได้มีโอกาส แต่พอรู้ว่าเป็นของไทยก็ได้รับการติดต่อมาทันที”
แนวคิดของอะกาลิโกหลักๆ จะมาเชิง therapeutic หรือการบำบัด ผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับผิวจะเน้นน้ำมันหอมระเหยแท้ เพราะบางชนิด เช่น ลาเวนเดอร์ คนที่เป็นเรื้อนกวางหรือสะเก็ดเงินสามารถใช้ได้ สบู่ที่มีส่วนผสมน้ำมัน ที ทรี ก็ช่วยบำบัดสิว แต่ถ้าเป็นเชิงกลิ่นหอม อาจใช้ส่วนผสมน้ำหอมเพราะคนไทยชอบกลิ่นที่หอมฟุ้งและอยู่ได้นาน “ถ้าเรารู้สึกว่ากลิ่นนี้ล่ะคือกลิ่นที่ใช่ ดมแล้วชอบ แล้วรู้สึกฟิน อันนั้นล่ะ aroma therapy”
Natural VS Green
อีกมุมหนึ่งคุณชัชวาลก็จริงจังในเรื่องรักธรรมชาติ “เราเชื่อว่าธรรมชาติ จริงๆ มันดีกว่า ตั้งแต่เริ่มต้นมา ผมก็ตั้งเป้าว่าจะทำทุกอย่างให้เป็น Natural & Green พยายามทำให้สินค้าเป็นธรรมชาติมากที่สุด”
ถึงขั้นกล้าบอกว่าสินค้าทุกตัว ไม่ว่าสาย Aroma หรือ Home Spa มีความเป็นธรรมชาติไม่ต่ำกว่า 80% มีสินค้าหลายตัวเป็น 100% Natural พร้อมทั้งบรรจุภัณฑ์หลายชิ้นก็ไม่เคลือบพลาสติก ไม่ใช้กาว เพื่อที่จะสามารถนำไปรีไซเคิลได้ทันที
อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สินค้าของเขายังคงขายดี แม้ในช่วงภาวะโควิดยอดขายก็มีอยู่ โดยที่ก่อนโควิดเน้นขายนักท่องเที่ยว แต่พอเข้าภาวะวิกฤตก็หันมาจับตลาดไทย โดยเฉพาะตลาดออนไลน์
“การตลาดสมัยใหม่เขาเน้นไปที่ pain point เราอาจจะตีถูก pain point ก็ได้” จุดเด่นของเขาอาจเป็นสิ่งที่คู่แข่งยังขาด และเป็นสิ่งที่คนมีกำลังซื้อต้องการ “เพิ่งเปิดออนไลน์มาประมาณ 2 ปี body oil ที่เพิ่งเปิดตัวเดือนตุลาคมปี 2564 เฉพาะออนไลน์ในไทย ก็ราวๆ เดือนละพันขวดแล้ว”
ชั่วโมงบินในตลาดสูงขนาดนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจ
Suggestion
(อยากให้) ไทยซื้อไทย
Timeless Relaxation ความผ่อนคลายที่อยู่เหนือกาลเวลา ที่ทางแบรนด์เชื่อแบบนั้นมาตลอด ผ่านมาร่วม 2 ทศวรรษ คงยืนยันความคิดเดิมได้แน่ๆ
“อยากฝากให้คนไทยซื้อสินค้าไทย ให้สนับสนุนกัน เพราะผมสังเกตคนไทยชอบสินค้าต่างประเทศมาก พอเจอของไทย อย่างแรกเลยมักเบือนหน้าหนีก่อน แล้วก็จะถามว่าราคาเท่าไร แทนที่จะถามถึงคุณภาพ อยากให้มองใหม่เพราะผลิตภัณฑ์ของไทยคุณภาพไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ”
เห็นความตั้งใจแล้ว…คงต้องพิสูจน์กันเสียหน่อยล่ะ
AKALIKO
ที่ตั้ง : 1, 3 ซอยเพชรเกษม 48 แยก 20 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160
Website: AKALIKO
Facebook: AKALIKO
Instagram: AKALIKO
ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมที่ตลาดพลังคนไทย
คลิก: AKALIKO
สนใจสินค้าพลังคนไทย สามารถสนับสนุนได้ที่คิง เพาเวอร์ทุกสาขา
ปักหมุดจุดท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
• วัดโพธิ์ ทัวร์แพทย์แผนไทย กรุงเทพฯ วัดโพธิ์ที่สวยงามกลางกรุง ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของเมืองไทย และยังเป็นต้นตำรับการนวดแผนไทยโบราณ เที่ยวแบบได้ความรู้แถมยังได้ลองฝีมือนวดของหมอนวดชั้นครู เหนื่อยเพลียมาจากไหนก็ผ่อนคลายแน่นอน
• ‘ดงบัง’ หมู่บ้านท่องเที่ยวสมุนไพร จ.ปราจีนบุรี แหล่งปลูกสมุนไพรแหล่งสำคัญที่ป้อนให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ชาวบ้านได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายมาจัดเป็นการท่องเที่ยว ผู้มาเยือนจะได้เรียนรู้การปลูกสมุนไพร การเก็บเกี่ยว และการแปรรูป ลูกๆ หลานๆ บ้านดงบังเป็นไกด์นำชมและอธิบายสรรพคุณของสมุนไพรไปจนถึงการแปรรูปอย่างครบวงจร
• เมืองบ่อน้ำร้อน จ.ระนอง ทัวร์เมืองฝนแปดแดดสี่ นอกจากธรรมชาติอันงดงาม ยังมีบ่อน้ำร้อนที่ยืนยันกันว่า เป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปน จึงไม่มีกลิ่นกำมะถันกวนใจ สามารถอาบน้ำแร่บำบัดรักษาสุขภาพ คลายความเมื่อยล้า หรือแค่ไปแช่เท้าก็สบายแล้ว