กราฟฟิตี้ขนาดใหญ่บนกำแพงนั้นโดดเด่นสะดุดตาผู้คน ซึ่งสัญจรผ่านลานกีฬาใต้ทางด่วนใกล้แยกอุรุพงษ์
ภาพกราฟฟิตี้นั้นเป็นรูปของ “มูฮัมหมัด อุสมานมูซา” นักฟุตซอล ทีมชาติไทย เด็กหนุ่มจากละแวกนี้ซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นนักกีฬาที่โดดเด่นด้วยความสามารถและผลงานทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติไทย ดาวยิงที่สะสมถ้วยรางวัลดาวซัลโวและผู้เล่นทรงคุณค่าไว้มากมาย ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับรุ่นน้องๆ ซึ่งมองเขาเป็นต้นแบบ
มูฮัมหมัด อุสมานมูซา หรือ เหม็ด ในวัย 25 ปี ปัจจุบันสวมเสื้อเบอร์ 20 ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า สโมสรคอร์โดบา (Cordoba) ซึ่งเป็นสโมสรลีกฟุตซอลอาชีพ ในสเปน
เขาไม่ได้ก้าวมาถึงจุดนี้ในชั่วข้ามคืน เหม็ด อายุ 9 ขวบ เริ่มเล่นบอลกับเพื่อนๆ ละแวกบ้าน คือ ซอยสุเหร่าหรือเพชรบุรี 7
“ไม่มีสนามก็เล่นตรงพื้นที่ว่าง เอารองเท้ามาตั้งเป็นประตูแล้วก็เตะเล่นกัน”
เหม็ดบอกว่า “โค้ชคนแรกของผมก็คือ ครูสอนพละ ที่โรงเรียนกิ่งเพชร ซึ่งได้พาผมไปแข่งขันในระดับเขต ระดับกรุงเทพฯ”
“คีย์สำคัญที่จะทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จได้ก็คือการฝึกซ้อม…
ระเบียบวินัยกับทัศนคติที่เราจะต้องมีเพื่อพัฒนาตัวเอง เป้าหมายในการเล่น
และระหว่างที่เรายังไปไม่ถึงเป้าหมาย เราจะต้องพัฒนาตัวเองไปด้วย”
เหม็ด – มูฮัมหมัด อุสมานมูซา
นักฟุตซอลทีมชาติไทย เจ้าของฉายา “พ่อมดฟุตซอลไทยรุ่นที่ 3″
เด็กชายแห่งพรสวรรค์
เด็กชายที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์จริงจังกับการเล่นฟุตซอลมากขึ้น เมื่อเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร ก่อนจะย้ายไปโรงเรียนราชวินิตบางเขน ซึ่งได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง ภายใต้การดูแลของอาจารย์นคร ชูสอนสาย ซึ่งปั้นนักกีฬาฟุตซอลทีมชาติมาแล้วหลายคน “อาจารย์นครได้ขัดเกลาผมในเรื่องของทัศนคติ มุมมอง วิสัยทัศน์ แล้วก็ระเบียบวินัย ทั้งในสนามและนอกสนาม”
จากที่เริ่มต้นเล่นสนุกๆ จนตกหลุมรักกีฬาประเภทนี้เข้าให้ เหม็ดคลั่งไคล้ลุ่มหลงฟุตซอลมากขนาดที่ตอนเด็กๆ ถึงกับยอมโดดเรียนตามไปดูการแข่งขันเท่าที่จะสามารถไปได้
อาจเพราะว่า เสน่ห์ของฟุตซอลเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน ด้วยขนาดของสนาม พื้นผิว สภาพแวดล้อม ผู้เล่นทีมละ 5 คน ใช้ลูกบอลเล็กและหนัก (กว่า) คล้ายกับเป็นกีฬาฟุตบอลที่ย่อส่วนสนามลง แต่ขยายทวีคูณด้วยการทำประตูที่มากขึ้น เกมอัดแน่นด้วยการยิงประตู เซฟประตู ส่งบอล โต้กลับ และเผชิญหน้าแบบ 1 ต่อ 1 กีฬาประเภทนี้ต้องการผู้เล่นที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็ว มีเทคนิคและยุทธวิธีการเล่นเฉียบขาด การตัดสินใจที่เฉียบคมและการเล่นภายใต้ความกดดันอันยิ่งใหญ่…หรือเพราะทุกอย่างที่ว่ามารวมกันก็เป็นได้
“ตอนอายุ 15 ปี ผมเริ่มมองเห็นอนาคตตัวเองว่า มีโอกาสที่จะเป็นนักกีฬาอาชีพได้ ตอนเริ่มต้นเล่นฟุตซอลนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เล่นมาเรื่อย จนวันหนึ่งผมเห็นว่าฟุตบอล มันสามารถทำให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ผมก็เลยฝันที่อยากจะเป็นแบบนั้น”
ด้วยความสามารถอันโดดเด่น เขามีโอกาสเล่นฟุตบอลอาชีพตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนจะติดทีมชาติทั้งชุดเยาวชนและชุดใหญ่ ร่วมพาทีมคว้าถ้วยแชมป์ เขาเป็นนักกีฬาฟุตซอลไทยคนแรกที่ได้ไปเล่นลีกอาชีพ ในประเทศสเปนกับสโมสรซานติอาโกในปี 2561 และได้กลับไปอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมาเพื่อร่วมทีมกับสโมสรคอร์โดบา
โจแซน กอนซาเลซ หัวหน้าโค้ชของสโมสรคอร์โดบาได้พูดถึง มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ผ่านเว็บไซต์ของทีมว่า เขาเป็นศูนย์หน้าที่โดดเด่น มีร่างกายแข็งแกร่ง ยิงประตูได้ยอดเยี่ยมด้วยขาทั้งสองข้าง ไม่เพียงแค่นั้น เหม็ดยังเล่นแนวรับได้สมบูรณ์แบบ มีการเคลื่อนที่ในสนามและมีการปรับตัว ซึ่งสร้างความประหลาดใจได้
โอกาสกับช่วงชีวิตในต่างแดน
การได้รับโอกาสให้ไปเล่นในลีกอาชีพยุโรป เหม็ดเชื่อว่าจะทำให้เขาได้เติบโตและพัฒนาตัวเองในหลาย ๆ ด้าน “ผมได้เจออะไรใหม่ๆ ที่เรายังไม่รู้ ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทุก ๆ อย่างมันก็ต่างไปหมดเลย ทำให้เราจะต้องอดทนในเรื่องของการใช้ชีวิตด้วย แล้วเราก็พัฒนาจิตใจของเราไปด้วย”
ประสบการณ์ในสเปนทำให้เหม็ดพบว่า “เราก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็คือเรื่องของความเข้าใจเกมและร่างกาย ข้อดีก็คือเรามีความมุ่งมั่น มีจุดเด่นในเรื่องของความเร็ว แล้วแต่ว่าเราไปวัดกับนักกีฬาคนไหน ผมคิดว่านักกีฬาไทยมีทักษะไม่เป็นรอง ถ้าเรามีความอดทน มีความกล้าที่จะไปลุย ถ้าหากว่าเราได้โอกาสแล้ว”
เพราะการทำงานในต่างแดนที่ต้องร่วมทีมยังผู้เล่นจากหลายชาติมารวมอยู่ด้วยกันทำให้ต้องปรับตัว แต่ถึงจะไม่ได้พูดภาษาเหมือนกัน แต่เมื่อในเกมทุกคนพูดภาษาเดียวกันคือ ภาษาฟุตซอล
เหม็ดให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การกลับไปเล่นที่สเปนครั้งนี้แตกต่างจากการไปครั้งแรกตอนอายุ 19 ปีมาก เพราะว่าเขาโตขึ้นและสามารถปรับตัวได้มากขึ้น จากที่เคยคิดถึงบ้านมากและรับประทานอาหารท้องถิ่นไม่ได้ ตอนนี้เขาน่าจะสบายขึ้นเยอะ ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นและประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ดีกว่า แม้การเตรียมตัวก่อนเดินทางจะไม่พร้อมนัก โดยเฉพาะเรื่องภาษา แต่เขาก็พร้อมลุย (ตามลำพังโดยไม่มีล่าม!)
และเมื่อใดที่ทีมชาติต้องการตัวเขา เขาก็พร้อมจะกลับมา เพราะการได้สวมเสื้อที่มีธงชาติไทยอยู่บนหน้าอกนั้นนับเป็นความภาคภูมิใจในชีวิต สำหรับเหม็ดเริ่มเล่นให้ทีมชาติตั้งแต่อายุ 18 จากทีมเยาวชน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 11 ทีมชาติชุดใหญ่ ได้เล่นฟุตซอลเคียงข้างกับรุ่นพี่ซึ่งเป็นไอดอลของเขา เหม็ดมีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ฟุตซอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนและเหรียญทองซีเกมส์
“ผมประทับใจในทุกๆ แมตช์ที่เล่นทีมชาติ” ดาวยิงโต๊ะเล็กช้างศึกเล่าย้อนถึงแมตช์ประทับใจล่าสุดที่ฟุตซอลไทยคว้าแชมป์ฟุตซอลอาเซียนคัพ สมัยที่ 16 มาครองได้สำเร็จ โดยไทยและอินโดนีเซียเสมอ 2-2 ในเวลา ก่อนจะชนะจุดโทษ 5-3 “เราไล่ตีเสมออินโดนีเซีย รู้สึกว่ามันเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจ เราโดนนำก่อน 2-0 แล้วเรามาตามตีเสมอในช่วงท้ายเกมและเรากลับมาชนะจุดโทษ”
Suggestion
ใช้เวลา…เต็มที่อย่างมีเป้าหมาย
เป้าหมายในการเล่าของเหม็ดคือ “อยากเป็นแชมป์เอเชียสักครั้งหนึ่ง และเป้าหมายส่วนตัวผมก็คือผมอยากได้รางวัลประเภทบุคคลในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยม (MVP) หรือว่ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดในระดับเอเชีย ส่วนในระดับยุโรปผมก็มีเป้าหมายที่อยากจะทำประตูให้ได้เยอะๆ”
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเหล่านั้น เหม็ดบอกกับเราว่า “ต้องทำงานให้หนัก ทั้งในเรื่องของฟิซิคอล (ทางร่างกาย) ไม่ว่าจะไปอยู่ยุโรปหรือเป้าหมายในเอเชียก็ต้องทำงานให้หนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซ้อม หรือว่าทุกๆ อย่างที่ทำให้เราพัฒนาตัวเอง”
เหม็ดมองว่า สิ่งหนึ่งที่เขามีอย่างเต็มเปี่ยมคือ “ความมุ่งมั่น ความไม่ยอมแพ้ ผมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อาจจะเป็นจุดเด่นของผม ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักกีฬาด้วย”
ก่อนจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เหม็ดผ่านอุปสรรคมากมายมาด้วยความรักในสิ่งที่กำลังทำอยู่ รวมทั้งความปรารถนาที่จะได้รับชัยชนะและทำดีที่สุด
เช่นเดียวกับการตกหลุมรักที่ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์หรือบนถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเสมอไป ทุกๆ คนต้องพร้อมที่จะรับความยากลำบากที่จะมาพร้อมกับกีฬา ทั้งดีและแย่จะพาเราก้าวไปเพื่อผ่านเป้าหมายทีละด่านๆ
“ผมเองมีแพสชันและมีอารมณ์ร่วมด้วยค่อนข้างสูงในตอนแข่งขัน หรือแม้กระทั่งตอนฝึกซ้อม เป้าหมายของแต่ละแมตช์ที่ลงแข่งขัน ทุกการแข่งขัน ทุกการฝึกซ้อม ผมต้องมองว่าเราจะต้องเป็นผู้ชนะก่อนอันดับแรก เราต้องมีทัศนคติที่จะเป็นผู้ชนะ”
ทัศนคติสำคัญ…จะนำไปสู่ “ชัยชนะ”
สิ่งที่เหม็ดพกพาลงสนามแข่งขันทุกครั้งคือ Winning Attitude ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักกีฬาคนหนึ่งประสบความสำเร็จ และการฝึกซ้อมเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้นักกีฬาคนหนึ่งยอดเยี่ยม ทุกชัยชนะเริ่มต้นมาจากความอยากชนะและการฝึกฝนฝึกซ้อม มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน เป็นการทำงานหนักเพื่อบรรลุศักยภาพของตัวเอง
“ไม่มีนักกีฬาคนไหนประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ฝึกซ้อม ผมคิดว่าการฝึกซ้อมคือคีย์สำคัญที่จะทำให้นักกีฬาทั้งประเภททีมหรือว่าประเภทเดี่ยวประสบความสำเร็จได้ ก็คือการฝึกซ้อม” เหม็ดบอก
“สิ่งสำคัญคือระเบียบวินัยกับทัศนคติที่เราจะต้องมี เป้าหมายในการที่เราจะเล่นตรงนี้ และระหว่างที่เรายังไปไม่ถึงเป้าหมาย เราจะต้องลงมือทำเพื่อพัฒนาตัวเองไปด้วย เช่น ถ้าเรามีความฝันที่จะไปเล่นที่ยุโรป ระหว่างที่เรายังไปไม่ได้ เราก็ต้องทำงานให้ดี เราต้องมีวินัยและทัศนคติที่ดี
“ทัศนคติที่ดีคือ ทุกๆ การฝึกซ้อมเราจะตั้งเป้าหมายว่าเราจะพัฒนาตัวเองในทุกๆ เซสชัน วันนี้เราฝึกซ้อมแล้วกลับบ้านไปก็ต้องทบทวนว่า วันนี้เราทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เราต้องทบทวนทุกวัน และเราต้องคิดจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา”
มุ่งมั่นจนกว่าจะสำเร็จ
วันนี้ เหม็ด กลายเป็นต้นแบบสำหรับรุ่นน้องมากมาย สำหรับเด็กๆ ที่อยากก้าวบนทางเดินเดียวกับเขา เหม็ดแนะนำว่า “อยากจะให้น้องๆ รุ่นใหม่ที่มีเป้าหมาย ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตให้สู้ มุ่งมั่นตั้งใจ ผมเชื่อว่านักกีฬาทีมชาติทุกๆ คนที่มายืนในจุดนี้ได้ เขาจะต้องผ่านอุปสรรคมาเยอะพอสมควร เราต้องไม่ท้อและก้าวข้ามมันไปให้ได้ ผมคิดว่าอุปสรรคมันมีอยู่ในทุกที่ที่เราจะไปถึงเป้าหมาย อยากให้เรามุ่งมั่น ตั้งใจและมีเป้าหมายให้ชัดเจน เราต้องเชื่อมั่นว่าเราจะทำให้ได้”
เมื่อย้อนกลับไปดูเส้นทางที่ผ่านมาของตัวเขาเอง เหม็ดพบว่า “ตอนเด็กๆ ผมเล่นบอลโดยที่ไม่ได้รู้จักนักบอลไม่มีใครเป็นต้นแบบ จนกระทั่งโตมาก็เริ่มดูฟุตบอล ถ้าเป็นฟุตซอลผมชอบพี่อาร์ม (ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง นักกีฬาฟุตซอล ทีมชาติไทย) ส่วนกีฬาฟุตบอลชอบลิเวอร์พูล ชอบสตีเวน เจอร์ราร์ด เขามีความจงรักภักดีต่อสโมสร มีความเป็นผู้นำ แล้วก็มีแพสชันในการเล่น”
หากเป็นไปได้และมีโอกาส เหม็ดอยากส่งกำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ เราจึงได้เห็นเขาเดินทางไปกับทีมก้าวคนละก้าว เพื่อร่วมพิธีเปิดสนามฟุตบอลหญ้าเทียมภายใต้โครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย ที่จังหวัดแพร่และกิจกรรมสนับสนุนกีฬาผ่านฟุตบอลต่างๆ ของคิง เพาเวอร์ โดยเหม็ดได้ลงเล่นฟุตบอลนัดพิเศษและช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ เยาวชนในพื้นที่ด้วย
“ผมชอบที่จะได้ไปอินสไปร์ให้น้องๆ เมื่อก่อนผมเองก็ต้องการกำลังใจแบบนี้ พอผมได้มายืนอยู่จุดนี้ผมก็อยากเป็นผู้ให้บ้าง ผมคิดว่าเป็นโครงการที่ดีมากๆ ตอนผมเด็กๆ ผมก็ไม่มีสนามดีๆ ใช้ การมีสนามดีๆ มันจะทำให้เราอยากจะเล่นอยากจะออกกำลังกายมากขึ้น สนามดีๆ สามารถช่วยเซฟในเรื่องของการบาดเจ็บได้ด้วย ผมคิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากๆ ผมก็ยังแอบอิจฉาน้องๆ เลยครับ”
หลังจากการพูดคุยกับเขา เราได้ข้อสรุปว่า … ฟุตซอลคือทุกสิ่ง, ฟุตซอลคือชีวิต สำหรับ มูฮัมหมัด อุสมานมูซานอกจากครอบครัวและเพื่อน เวลาเกือบทั้งหมดของเขาอุทิศให้กับฟุตซอล
“ตอนนี้ผมโฟกัสที่ฟุตซอล ไม่ได้มีความสนใจด้านอื่น” นอกจากซ้อมและแข่ง “เวลาว่างก็ไปเที่ยวกับครอบครัว นัดเจอเพื่อนที่ร้านกาแฟ ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมาก งานอดิเรกอื่นก็ไม่มี”
ฟุตซอลคือเกมกีฬาที่ท้าทาย ซึ่งได้มอบบทเรียนจากการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานหนัก ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ การต่อสู้ซึ่งจะติดตัวไปตลอดชีวิต วันนี้เหม็ดมีเป้าหมายและทุ่มเทพยายามเพื่อจะทำให้ได้ไปให้ถึง ด้วยพรสวรรค์ การฝึกฝน และทัศนคติความคิด
สำหรับการพูดคุยครั้งนี้ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ยังได้ตอกย้ำทำให้เชื่อว่า เราสามารถทำทุกอย่างได้ ถ้ารักสิ่งนั้นและพยายามมากเพียงพอ
รู้จักเขาเพิ่มเติม
พ่อมดฟุตซอลไทยรุ่นที่ 3: มูฮัมหมัด อุสมานมูซา
● มูฮัมหมัด อุสมานมูซา หรือ เหม็ด ลูกครึ่งกาน่า-ไทย เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลชาวกาน่าที่เดินทางมาค้าแข้งในไทยและเสียชีวิตไปตั้งแต่เหม็ดยังเด็ก เขาเติบโตมาโดยมียายเป็นคนดูแล
● เหม็ดเริ่มเล่นฟุตซอลมาตั้งแต่ประถม ก่อนจะจริงจังขึ้นช่วงมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร แล้วจึงย้ายไปโรงเรียนราชวินิตบางเขน และศึกษาต่อที่คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
● เริ่มเล่นฟุตซอลอาชีพกับทีมแบงค็อก บีทีเอส ตอนอายุ 18 ก่อนจะถูกยืมตัวไปเล่นให้ซานติอาโก นับเป็นนักกีฬาฟุตซอลไทยคนแรกที่ได้ไปเล่นลีกอาชีพที่ประเทศสเปน เขาเคยร่วมทีมการท่าเรือ (ยืมตัว) และชลบุรี บลูเวฟ ก่อนจะมาอยู่กับแบล็ค เพิร์ล ยูไนเต็ด
● ระหว่างนั้นมีโอกาสไปทดสอบฝีเท้าที่สโมสรฟุตซอลเบนฟิกา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตซอลทีมชาติไทยชาวสเปนดูแลอยู่ ก่อนจะได้เป็นสมาชิกของสโมสรคอร์โดบา ทีมในสเปนด้วยสัญญายืมตัวจากต้นสังกัดแบล็ค เพิร์ล ยูไนเต็ด
● เมื่ออยู่กับแบงค็อก บีทีเอส เขามีส่วนช่วยให้ทีมได้แชมป์ไทยฟุตซอลเอฟเอคัพ และ ฟุตซอลชิงแชมป์สโมสรอาเซียน ต่อมาได้แชมป์ฟุตซอลไทยลีก 2 สมัยกับชลบุรี บลูเวฟ
● เหม็ดติดทีมชาติครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี จากทีมรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีแล้วจึงมาเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่ เขาเป็นหนึ่งในทีมแชมป์ฟุตซอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนถึง 5 ครั้งและได้ 2 เหรียญทองซีเกมส์
● เขาเป็นเจ้าของรางวัลส่วนตัวมากมาย ทั้งในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตซอลไทยลีก 2564–2565 รางวัล MVP นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2563 และ 2564–2565 ดาวซัลโวในรายการฟุตซอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ปี 2560, 2562 และ 2565 เป็นต้น
● มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ได้รับสมญาจากสื่อกีฬาไทยว่า “พ่อมดฟุตซอลไทยรุ่นที่ 3” ซึ่งเป็นการรับไม้ต่อจากรุ่นพี่ทีมชาติอย่าง อนุชา มั่นเจริญ และ ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง ด้วยความสามารถและผลงานอันโดดเด่นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา