Passion

‘หมอปัม’ คุณหมอนักวิ่ง
ที่ไม่เคยหยุดวิ่งตามแพสชัน

อลิษา รุจิวิพัฒน์ 22 Dec 2023
Views: 777

Summary

ในโอกาสที่ปลายปีนี้ สนามวิ่งของ “โครงการก้าวต่อไปด้วยพลังเล็กๆ ภาคกลาง” จะมาถึงเพื่อให้ทุกคนได้เก็บเหรียญพิระมิดชิ้นสุดท้าย เราชวน “หมอปัม” มาพูดคุยทำความรู้จักตัวตนของคุณหมอนักวิ่งท่านนี้ ฟังหมอปัมเล่าถึง “ประตูโอกาส” ที่เปิดสู่มวลชนแล้วอินสไปร์ดีจัง นอกจากนั้น เรายังเพิ่งทราบว่าหมอปัมยังเป็นนักอ่าน…และอ่านสิ่งที่ในบทความนี้มีคำตอบ!

“ผมว่าใครที่ได้รับโอกาสก็ต้องอยากมีส่วนร่วม เพราะมันเป็นโครงการที่ได้ช่วยเหลือคนและได้ออกกำลังกายไปด้วย สำหรับผมยังได้ใช้วิชาชีพเข้ามาช่วยให้พี่ตูนไปถึงเป้าหมายก็ยิ่งยินดีที่จะทำ”

หมอปัม – พ.อ.นพ.พลังสันติ์ จงรักษ์ คุณหมอนักวิ่งที่มีอาชีพหลักเป็นจิตแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าควบไปกับตำแหน่งประธานมูลนิธิก้าวคนละก้าว เล่าถึง ‘ก้าวแรก’ ที่นำพาเขาให้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมก้าวคนละก้าว ก่อนจะเร่งจังหวะก้าวให้มาไกลและพาไปในทุกโครงการที่ทีมก้าวคนละก้าวขับเคลื่อน หนึ่งในนั้นคือการเข้าร่วมโครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มอบสนามหญ้าเทียมสีน้ำเงินให้กับ 100 โรงเรียนทั่วไทย

“ทุกครั้งที่เราได้สื่อสารเรื่องเหล่านี้เล่าให้คนใกล้ตัว…ให้สังคมฟัง เหมือนบอกบุญต่อกันไป

การที่ผมยังอยู่ในวงจรเหล่านี้ก็เหมือนเราได้ส่งต่อการแบ่งปันไปด้วย ผมพร้อมจะลุยต่อไปจนสุดทาง”

พ.อ.นพ.พลังสันติ์ จงรักษ์ (หมอปัม)
จิตแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ / ประธานมูลนิธิก้าวคนละก้าว

 

ก้าวแรก ณ จุดสตาร์ท

เด็กชายพลังสันติ์ ก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบเล่นกีฬา ชอบออกกำลังกาย ไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการปลดปล่อยพลังและใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อน

“ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นกีฬาเป็นทีม แต่ไม่ชอบแข่งขัน ผมไม่ได้มีแพสชันอยากเอาชนะใคร ที่ชอบเล่นกีฬาเป็นทีมเพราะได้เล่นกับเพื่อน พอโตขึ้นทุกคนก็เริ่มมีภาระหน้าที่ จะนัดรวมตัวกันแต่ละทีก็ยาก เลยเปลี่ยนความสนใจมาเล่นกีฬาที่ทำคนเดียวได้ เช่น ว่ายน้ำ ไตรกีฬา วิ่ง กีฬาเหล่านี้มันก็เหมือนกับเราต้องแข่งขันกับตัวเอง ด้วยระยะเวลาหรือขีดความสามารถใดๆ ก็ตาม สุดท้ายก็มันก็ท้าทายว่าเราจะทำมันสำเร็จหรือไม่”

“คุณไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวันจะพาคุณไปที่ไหนบ้าง” หมอปัมเล่าต่อด้วยว่า เขาวิ่งตั้งแต่กีฬาวิ่งยังไม่บูมเท่าปั่นจักรยาน ราวๆ 8 – 9 ปีเห็นจะได้ที่รักษาสปีดการวิ่งจนในที่สุดสิ่งที่ทำซ้ำๆ ทำทุกวันก็นำพาเขามาพบกับโลกอีกใบ

“ตอนนั้นผม (ปี 2560) ผมทำงานเป็นจิตแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พอดีว่าพี่ป๊อก (อิทธิพล สมุทรทอง) กำลังรวบรวมทีมแพทย์ที่จะวิ่งประกบพี่ตูน ต้องวิ่งไปด้วยดูอาการไปด้วย แล้วยุคนั้นคนที่เป็นหมอและวิ่งยังมีไม่เยอะ นั้นเป็นโอกาสที่ทำให้ผมได้เข้ามาเป็นทีมแพทย์ร่วมโครงการก้าวคนละก้าว เบตง – แม่สาย”

“ช่วง 20 วันแรก ผมกับหมอเมย์ (พญ.สมิตดา สังขะโพธิ์) จะวิ่งประกบพี่ตูนเพื่อสังเกตอาการ ปรากฎว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องบาดเจ็บภายนอกแล้ว เริ่มเกิดปัญหาความเครียดในทีม ผมเองเป็นจิตแพทย์เลยได้ทำงานกับทีมก้าวฯ จนจบโครงการ”

 

พลังแห่งโอกาสของหมอปัม
ตลอดเส้นทางการลงมือทำเพื่อผู้คน

1. คุณไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ทุกวันจะพาคุณไปที่ไหนบ้าง

2. คนที่หยิบยื่นโอกาสอาจไม่ทันคิด แต่สำหรับคนได้รับนั้นอาจหมายถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

ก้าวต่อไปหลังเส้นชัยแรก

“หลังจบโครงการ พี่ตูนก็ชวนเข้ามาทำมูลนิธิก้าวคนละก้าวฯ เลยได้เข้ามาเป็นประธานมูลนิธิ นั่นคือก้าวสำคัญที่ทำให้ทัศนะและมุมมองเรื่องต่างๆ ในชีวิตผมเปลี่ยนไป”

หมอปัมยังเล่าอีกว่า การทำงานมูลนิธิทำให้เขาเห็นโลกที่ ‘มอบโอกาส’ และ ‘ขาดโอกาส’ “นอกจากโครงการต่างๆ ที่ทีมก้าวคนละก้าวทำ ที่ผมเห็นมาตลอดคือพี่ตูนลงไปทำงานกับ คิง เพาเวอร์ในโครงการต่างๆ ผมก็ลงไปช่วยแทบทุกครั้ง อย่างไปแจกลูกบอลให้เด็กๆ หน้าที่ผมคือส่งลูกบอลให้พี่ตูน จนมาถึง ‘โครงการ 100 สนามฟุตบอลฯ’ พี่ตูนก็ชวนฟอร์มทีมลงเตะเปิดสนาม ผมอยากไปเห็นด้วยว่าสนามหญ้าสีน้ำเงินเป็นแบบไหน พอได้เห็นของจริง บอกเลยว่าคิง เพาเวอร์ ให้สนามดีมากๆ”

“ผมทำงานเป็นจิตแพทย์ ได้เจอเคสคนไข้หรือครอบครัวที่มีปัญหาช่วงรอยต่อวัยุร่น เรื่องยาเสพติด การพนัน เห็นปัญหาครอบครัวหลายด้าน ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เด็กอยู่กับสื่ออยู่กับเทคโนโลยีโดยไม่มีใครแนะนำ โอกาสที่จะพลาดมีสูง ผมเชื่อเสมอว่ายังมีเด็กไทยหลายคนมีแพสชันด้านกีฬาแต่ปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้อ การที่เขามีสนามบอลดีๆ ได้มีพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันคนอื่น เขาจะได้มากกว่าทักษะกีฬาแต่ยังได้ทักษะการเข้าสังคมอีกด้วย”

 

ก้าวถอยหลังเพื่อเห็นในมุมที่กว้างกว่า

หมอปัมเล่าต่อว่า แม้เขาจะรู้ตัวเสมอว่าเป็นคนมีแพสชันในการช่วยเหลือคน เขาจึงเลือกเป็นจิตแพทย์ แต่เขาไม่เคยคิดว่าการมอบโอกาสให้ผู้คนจะทำให้แพสชันนี้ทรงพลังยิ่งขึ้น

“ผมเลือกเรียนจิตแพทย์เพราะผมเป็นคนชอบฟัง บางครั้งแค่รับฟังก็ช่วยเขาได้ระดับหนึ่ง และพอสิ่งที่ฟังไม่ใช่ปัญหาเราทำให้เรามองเหนือปัญหาและมีสติคิดในมุมที่กว้างขึ้น นอกจากชอบฟัง ผมยังชอบอ่าน โดยเฉพาะนิยาย เหมือนได้ประกอบจิ๊กซอว์ของชีวิตตัวละคร วัยเด็กเป็นแบบนั้นทำให้โตมากลายเป็นคนแบบนี้ คนนี้แก้ปัญหาแบบนี้เพราะวัยเด็กเขาเจออะไรมา”

“ผมโตมาด้วยชีวิตที่รุ่นพ่อรุ่นแม่สร้างโอกาสดีๆ รอไว้ให้ โดยที่ไม่ต้องตัดสินใจหรือไขว่คว้าด้วยตัวเองมากนัก แต่พอมองย้อนกลับไป ผมเชื่อว่า นั่นคือโอกาสที่ผมได้รับตั้งแต่เกิด การที่เราเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่เลือกโรงเรียนสภาพแวดล้อมดีไ มีเพื่อนที่เติบโตมาคอยช่วยเหลือกัน นั่นคือโอกาสที่ผมได้รับ แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันคือโอกาส เพราะเราอยู่กับสิ่งนั้นมาตลอด จนได้เข้ามาทำงานตรงนี้ รู้เลยว่าคนที่เขาไขว่คว้าโอกาสด้วยตัวเองมันน่าชื่นชมแค่ไหน เด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ดีเลิกเรียนต้องไปเล่นดนตรีที่งานศพเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าไฟ จะได้มีไฟไว้ทำการบ้านและจะได้เรียนต่อ”

“เคยคุยกับโค้ชตามโรงเรียนที่เราไป เขาบอกว่าเด็กบางคนมีพรสวรรค์แต่ขาดโอกาส ในที่นี้หมายถึงอุปกรณ์หรือสิ่งที่เอื้อให้พวกเขาได้พัฒนาความสามารถ อย่างบางที่ไม่มีไฟฟ้า หลัง 6 โมงก็ซ้อมไม่ได้แล้ว เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อคว้าโอกาสให้ตัวเอง วันนี้ผมสามารถให้โอกาสเขาได้ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใดก็ตาม ผมก็อยากจะช่วย”

นอกจากผู้รับจะสุขใจ ผู้ให้เองหัวใจก็อิ่มสุขไม่ต่างกัน หมอปัมยังบอกด้วยว่า มากกว่าความสุขที่ได้ให้ สุขใจที่ได้เห็นแววตาของเด็กๆ ที่ได้รับโอกาส ผลประกอบการทางอ้อมที่เขาได้รับคือ ‘ความอ่อนโยน’

“ด้วยสภาพแวดล้อมและความกดดันจากเรื่องรอบตัว ทำให้เราต้องใช้ชีวิตเหมือนลงสนามแข่งทุกวัน แข่งกับเวลา แข่งกับตัวเอง แข่งกับอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ความอ่อนโยนในตัวเราถูกพักไว้ แต่การทำงานตรงนี้ทำให้เราเห็นชีวิตอีกแบบ มันไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แก่งแย่ง แข่งขันขนาดนั้นชีวิตมันก็ดำเนินต่อไปได้ ทำให้ผมฉุกคิดว่าบางครั้งเราไม่ต้องเร่งรีบขนาดนั้นและหัดอ่อนโยนกับคนรอบตัวบ้าง โดยเฉพาะกับตัวเอง”

 

พลังแห่งโอกาสของหมอปัม
ตลอดเส้นทางการลงมือทำเพื่อผู้คน (ต่อ)

     3. ทำให้เต็มที่ทุกวัน ถ้าวันนี้โอกาสยังมาไม่ถึง อย่างน้อยก็ภูมิใจที่เราทำมันเต็มที่

4. โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ

5. คนที่เขาไขว่คว้าโอกาสด้วยตัวเองน่าชื่นชม

“อย่าหยุดก้าว” แง่คิดดีๆ ที่อยากส่งต่อ

“อยากให้น้องๆ ทำให้เต็มที่ เรื่องของชีวิตมันมีปัจจัยหลายอย่าง เราไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรจะเข้ามาในชีวิตตอนไหน สิ่งที่เราทำได้คือสิ่งที่อยู่กับตัวเรา ทำทุกอย่างให้เต็มที่ และเมื่อไรที่มีคนมาเห็นสิ่งที่เราทำเต็มที่ มันก็อาจจะเพิ่มโอกาสอะไรบางอย่าง ในทางกลับกัน วันหนึ่งมีคนมาดูเราซ้อมแต่เราไม่ได้ทำเต็มที่ ก็อาจจะเสียโอกาสโดยที่เราไม่รู้ก็ได้”

“ถ้าเราเต็มที่ทุกวัน ตั้งใจทำเต็มที่ในสิ่งที่เรากำหนดได้ด้วยตัวเราเอง ปัจจัยอื่นๆ เดี๋ยวมาเป็นองค์ประกอบเอง หรือถ้าวันนี้โอกาสยังมาไม่ถึง อย่างน้อยก็ภูมิใจที่เราทำมันเต็มที่ ทำต่อไปเถอะครับ ทำให้มีความสุข และตั้งใจทำให้ดี โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ ฟังดูคลิเช่แต่มันคือความจริง”

ขอบคุณภาพจากคุณหมอปัม

 

ก้าวต่อไป เพื่อก้าวต่อ

หมอปัมยืนยันว่า จังหวะก้าวของเขาต่อจากนี้ยังคงขับเคลื่อนด้วยแพสชันของจิตแพทย์ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถลุกก้าวเดินได้ต่อ และแพสชันของชายหนุ่มที่ใช้กีฬาพาเขาไปพบเจอโอกาสใหม่ๆ และยังมีแพสชันในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่อยากสร้างครอบครัวสมบูรณ์แบบ เป็นลมใต้ปีกให้ลูกก้าวเดินด้วยตัวเอง ท้ายสุดคือ แพสชันของการส่งต่อโอกาสดีๆ ต่อไปไม่สิ้นสุด

“ผมอยากทำโครงการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ต่อไป พอพี่ตูนหยิบยื่นโอกาสนี้และเราลงไปทำ รู้สึกว่ามันดีต่อชีวิตเรา มันดีเหมือนเราได้ทำบุญ ทุกครั้งที่เราได้สื่อสารเรื่องเหล่านี้เล่าให้คนใกล้ตัวฟัง ให้สังคมฟัง เหมือนบอกบุญต่อกันไป เช่น พอเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็อยากฝากเสื้อผ้า ฝากทำบุญด้วย การที่ผมยังอยู่ในวงจรเหล่านี้ก็เหมือนเราได้ส่งต่อการแบ่งปันไปด้วย ก็เป็นอีกแพสชันหนึ่งที่ผมพร้อมจะลุยต่อไปจนสุดทาง”

Author

อลิษา รุจิวิพัฒน์

Author

มนุษย์ที่ชอบทำงานตามโจทย์แต่ชอบใช้ชีวิตตามใจ หวั่นไหวกับของเล่น การ์ตูน ร้านหนังสือ ดิสนีย์แลนด์ และฝันว่าสักวันจะได้ไปเยือนสวนสนุกทั่วโลก