Summary
นารา เทพนุภา หญิงสาวที่มาพร้อมความสดใสไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ในชีวิต โดยเฉพาะบทบาทพิธีกร รายการ The Power Gang ซึ่งทุกๆ งานและเส้นทางชีวิตของเธอเดินมาได้ด้วยแพสชันล้วนๆ หลายคนอาจจะรู้ หรือไม่รู้ว่า “อินฟลู” คนนี้เป็น “คนบันเทิง” มาก่อนจะเป็นที่รู้จักบนโลกโซเชียล มาทำความรู้จักตัวตนของเธอกัน
เมื่อไหร่ที่ใครพูดชื่อ ‘นารา เทพนุภา’ ขึ้นมา ใบหน้าสดใสของเธอน่าจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่เรานึกถึง ใครได้คุยกับเธอเป็นต้องรู้สึกเหมือนได้สัมผัสละอองความสดชื่นส่งต่อมาพร้อมกับแง่มุมดีๆ ในชีวิต และนี่แหละที่ทำให้เรายิ่งอยากรู้จักกับเธอในแง่มุมอื่นๆ มากยิ่งขึ้นอีก
สิ่งที่ได้สัมผัสจากการพูดคุยด้วย คือความสดชื่นที่ถูกส่งถึงเราได้ด้วยเอเนอร์จีบวกๆ จริงๆ เธอทำให้สิ่งต่างๆ ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนและการทำในสิ่งที่ชอบเป็นความสนุก ทำให้การเป็นนักแสดงเป็นเรื่องสร้างแรงบันดาลใจ และมีมุมมองชีวิตที่น่าจะเป็นกำลังใจให้กับหลายๆ คน |
“หนูเชื่อในเรื่องจังหวะ เวลา และโอกาส ถ้าสามสิ่งนี้มาพร้อมกันแล้วเราพร้อมด้วย
ทั้งการเตรียมตัว การดูแลตัวเอง หรืออะไรก็ตาม ก็คือจบ”
นารา เทพนุภา
นักแสดง, Influencer, พิธีกรรายการ The Power Gang
ทาง YouTube: King Power Thai Power พลังคนไทย
ความฝัน ไม่มีก็ไม่เป็นไร
ตอนเด็กๆ นาราเคยมีความฝันไหม?
“ชีวิตหนูอาจจะไดรฟ์ด้วยความชอบจัดๆ เลยไม่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นหรือไม่เป็นอะไร เหมือนรู้ว่าฉันชอบเต้น ชอบวิชานี้ ไม่ชอบวิชานี้ รู้ว่าตัวเองถนัดอันนี้ ไม่ถนัดอันนี้ ตอนเด็กๆ ส่วนมากจะเป็นคุณครูที่ถามแล้วให้เขียนใส่กระดาษ บางทีก็ตอบๆ ไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าหมอ ทนายเขาเป็นกันยังไง ทั้งๆ ที่คุณพ่อก็เป็นทนาย”
พอคนในครอบครัว โดยเฉพาะคุณตาและคุณพ่อไม่ว่า นาราเลยได้ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นเด็กจริงๆ คือไหลไปตามสิ่งที่ได้เรียน ได้ทำ และความชอบของตัวเอง “หนูเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตตามที่เป็นอยู่ เรียนก็เรียนงานอดิเรกที่ชอบคือการเต้น เราก็หาตัวเองไปด้วย” ซึ่งฝึกเองและปลดปล่อยไปตามฟิลของเพลง เน้นเต้นฟรีสไตล์เพราะมีการนับจังหวะเป็นจุดอ่อน
“อาจไม่ค่อยเห็นว่าหนูเต้นกับคนอื่น ไม่ใช่อะไรหนูไม่ได้นับ 1 2 3 4 แค่ฟิลไปกับเพลงไม่นับจังหวะเลย เพราะว่านับไม่ได้” (หัวเราะ)
ถาม-ตอบกับนารา เทพนุภา
1.ภาษาจีนที่เรียนไป ได้เรียนต่อหรือนำไปใช้ในชีวิตยังไงบ้าง?
“หนูสอบ HSK4 ตอนแรกจะสอบ 5 แต่ถ้าสอบ 5 แล้วได้คะแนนแบบกึ่งๆ
จะผ่านก็ไม่ผ่านเลยไปสอบ HSK4 คะแนนออกมาแบบที่เราพอใจ
มันเป็นการชาเลนจ์ตัวเองด้วย อยากรู้ว่าเราจะทำได้เท่าไรนะ
และบางทีก็มีเพื่อนคนจีนมาคุยด้วย อาจเรียกว่าแฟนคลับแต่หนูก็เรียกเขาว่าเพื่อน
คุยกันแล้วก็บอกเขาว่าหนูเรียนภาษาจีนนะ แล้วก็อยากฝึกด้วย
ก็จะมีบางคนมาสอน มาคุย มาเล่นกัน”
ช่วงเวลาของจุดเปลี่ยน
ก่อนเป็นนักแสดงในปี พ.ศ. 2556 จากประกวด ‘คริสตัลตามล่าหาแก๊งน้องใหม่’ ที่เฟ้นหานักแสดงสำหรับละคร น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ เธอก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งที่ตามหาตัวเอง และพอจะรู้ว่าตัวเองสนใจอะไรบ้าง โดยเฉพาะด้านภาษา ซึ่งคุณพ่อก็สนับสนุนให้เรียนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน
“ตอนเรียนภาษาจีนก็คิดว่าอย่างน้อยถ้าขายของก็ขายได้มากกว่าคนอื่นมั้ง ไม่ได้มองว่าเรียนแล้วจะต้องไปเป็นไกด์หรืออะไร หนูคิดง่ายมากเลยตอนเด็กๆ”
แต่หลังจากติด 1 ใน 8 คนสุดท้ายของการประกวดและได้รับเลือกเล่นบท ดีจัง เป็น “น้องใหม่” ในละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ นักเรียนสายสามัญที่สอบติดโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากร สายศิลป์-ฝรั่งเศสแล้วก็ตัดสินใจออกมาแล้วไปเข้าเรียน กศน. แทน
“เรื่องเรียนรามฯ หรือ กศน. พอมองย้อนกลับไปหนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เรามีเวลามากขึ้นกับสิ่งที่เราชอบ เหมือนเราไม่ต้องไปหมกมุ่นกับวิชาที่เราไม่ชอบ หนูแค่ต้องยอมรับว่าจริงๆ แล้วหนูไม่ได้ถนัดเลข ชีวิตหนูมันถูกไดรฟ์ไปด้วยความชอบจริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าหนูเรียนแล้วทำงานไปด้วยก็เท่ากับหนูได้เงิน หนูมีเวลาว่างก็ได้ไปเที่ยวหรือได้ฝึกภาษามากขึ้น มันก็เป็นข้อดีหมดเลย”
การเลือกเรียนทั้งใน กศน. และเรียนจบรามฯ แบบไม่มีใครคอยเข็น ตอนนั้นตัดสินใจยังไง?
“ช่วงนั้นก็ตีกับตัวเองเหมือนกันว่า ในกรอบเราดีหรือยัง แล้วก็คิดว่าถ้าหนูออกนอกกรอบสักครั้งจะเป็นยังไง แต่มันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ การออกมาโดยที่ไม่มีคนทริกเราว่าต้องเรียนยังไง กลายเป็นว่าหนูไม่ได้รู้สึกกดดัน ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือทุกวัน แปลศัพท์ทุกวัน รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขมาก เพราะได้ทำแต่สิ่งที่เราฟิลกับมันจริงๆ จนชีวิตพัดพาให้เราไปประกวดน้องใหม่ฯ”
Suggestion
“หนูอยากเป็นนักแสดง!”
ตอนนั้นเราเคยคิดอยากจะเข้ามาทำงานในวงการไหม?
“ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแสดงคืออะไร แต่ว่าเป็นคนชอบเอนเตอร์เทนมาก เวลามีงานโคฟเวอร์แดนซ์ก็จะไปเต้นกับเพื่อน จนมีโอกาสเลยไปประกวด” แล้วนับจากนาราวันนั้นที่เคยพูดว่า ‘ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักแสดงคืออะไร’ กลายเป็นว่าทำงานในวงการมาสิบปีแล้ว ย้อนกลับไปมีจุดหนึ่งที่ทำให้เธอตั้งมั่นกับตัวเองว่า หนูอยากเป็นนักแสดง!
ถาม-ตอบกับนารา เทพนุภา
2.เรื่องการแสดง มีบทบาทไหนที่อยากเล่นบ้าง?
“อยากลองเล่นบทฝาแฝด หรือบทที่หนูไม่เคยเล่น
อยากรู้ว่าถ้าเป็นนักแสดงที่มีฝาแฝดแล้วหนูต้องแยกบทจะเป็นยังไง
คิดว่าน่าลองเหมือนกัน”
“แสดงไปสามปีก็เริ่มมีจุดพลิกผัน หนูอยากลองออกจากค่ายดู ก็ถามป๊าว่าออกได้ไหม ป๊าบอกว่าได้แต่ออกไปแล้วจะทำอะไร เราก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปเรียนก็ได้ แล้วชีวิตก็พัดพาให้ได้เจอกับพี่ฉอด ซึ่งช่วงนั้นเล่นละครของพี่ฉอดทิ้งไว้ เรื่อง ขวัญผวา ในช่วงเวลาสามปีที่คนอื่นเรียกหนูว่าดาราหรือนักแสดง หนูรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ทำความรู้จักแล้วก็ค่อยๆ กลืนกินมันไปจนถึงช่วงที่ได้รับบทในขวัญผวา จนมารู้สึกว่า…
“เฮ้ย หนูอยากเป็นนักแสดง!!”
ขอบคุณภาพจากนารา
ตั้งแต่นั้นนาราก็มีความท้าทายในทุกๆ วัน ในฐานะนักแสดงทั้งการได้เจอคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ การร่วมงานกับเพื่อนๆ กลุ่มใหม่ แต่ทั้งหมดนั้นทำให้เธอรู้ตัวว่าอยากเป็นอะไร
“หนูอยากเป็นนักแสดงทั้งเก่งและดี นักแสดงที่เก่งมันฝึกได้ แต่นักแสดงที่ดีมันคือเรื่องของการตรงต่อเวลา การมีวินัย เราต้องให้เกียรติผู้ร่วมงาน ซึ่งหนูให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ ถามว่ามีวันที่อยากตื่นสายไหม ก็อยาก แต่ยังมีคนรอเราอีกตั้งหลายคนที่เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วต้องไปกองถ่ายก่อนเราอีก”
งานพิธีกรที่ต้องเรียนรู้ไปด้วย
เห็นนาราเป็นนักแสดง อีกหนึ่งบทบาทที่เธอได้รับในฐานะที่สดชื่นจนโลกสดใสก็คือ พิธีกรรายการ The Power Gang ทาง YouTube: King Power Thai Power พลังคนไทย งานนี้พาเธอไปเปิดโลกกีฬา “กีฬาบางชนิดหนูยังไม่รู้จักเลย ก็ไปเรียนรู้ข้างหน้า…ไปเห็นของจริงข้างหน้า แล้วเราได้เห็นสปิริตของนักกีฬา ซึ่งมีบางเทคที่เขาก็ทำจนกว่าจะได้จริงๆ ทั้งที่ในทางเทคนิคมันก็ตัดต่อได้ รู้สึกแบบมันดีจังเลย”
การทำงานพิธีกรรายการที่ทำให้เธอได้เจอนักกีฬาไทยกับกีฬาหลากหลายชนิด ได้ทำงานไปด้วย เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปด้วย “หนูรู้สึกว่าคนเก่งมีเยอะมากและกีฬาดีๆ ก็เยอะมากเหมือนกัน ช่วงสัมภาษณ์บางทีก็มีเรื่องที่หนูอยากรู้เพิ่มเข้าไปด้วย อย่างกีฬาบูมเมอแรง จำได้ว่ามีเอกลักษณ์และมีศิลปะ มีเทคนิคเรื่องการไล่ลม ดูทิศทางลมอะไรเข้าไปด้วย หรือกีฬาเทคบอล (Teqball) คืออะไร ทำอะไร เหมือนเราได้ความรู้ไปด้วย”
ถ้าอย่างนั้นในบรรดากีฬาที่เราได้ถ่ายทำ มีกีฬาไหนที่เราเอนจอยกับมันบ้าง?
“สแต็กค่ะ กีฬานี้คือว้าวมาก ตั้งแต่ถ่ายมาเนี่ย สแต็กหนูคือเกิดสุด หนูว่าหนูได้อยู่ ซึ่งพอเราได้เห็น ลองเล่น ลองแข่งก็รู้สึกสนุกดี ถึงหนูจะเป็นผู้หญิงคนเดียวก็ตาม”
ถาม-ตอบกับนารา เทพนุภา
3.วิธีดีลกับความเสียใจ?
“หนูเป็นคนที่เสียใจก็รู้ตัวว่าเสียใจ รู้สึกไม่ดีก็พูดออกมา
อาจเป็นคนเอกซ์เพรสออกมาด้วย ในแต่ละวันเลยไม่มีอะไรให้รู้สึกตกค้าง”
Suggestion
จังหวะ เวลาและโอกาส
“ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงชีวิตของหนูที่เหมือนหว่านเมล็ดไว้แล้วมันออกดอกขึ้นมา”
หลายๆ ประโยคที่ฟังนาราเล่ามา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงานหรือเรื่องชีวิต และสิ่งที่ชอบ คำว่าชีวิตไดรฟ์ไปตามความชอบของตัวเองเป็นประโยคที่นาราพูดบ่อยๆ จนวันนี้มีงานแสดง งานพิธีกร และโปรเจกต์อีกมากมาย ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้เธอก็ยังเก็บสิ่งที่รักและใช้ชีวิตให้มีความสุขไปทีละวัน
ในพาร์ตของการซัปพอร์ตทางใจเธอก็มีซีดี กันต์ธีร์เป็นคนข้างๆ ที่คอยสนับสนุนเสมอ “เวลามีปัญหา เขาจะรับฟัง หนูเลยจะไม่ได้รู้สึกว่าอยู่กับปัญหาคนเดียว อย่างหนึ่งที่ตรงกันมากคือเรามองอะไรในชีวิตเป็นศิลปะ หนูไม่ชอบความเนี้ยบ เขาก็เหมือนกัน หลายๆ เรื่องเลยรู้สึกว่าความผิดหวังเสียใจเป็นเรื่องปกติ”
นาราพูดประโยคเดิมเสมอ คือ ‘ชีวิตของเธอไดรฟ์ด้วยความชอบ’ ความชอบทั้งการเต้น การเรียนภาษา หรือแม้กระทั่งวันนี้ที่เธอหลงใหลในการเอนเตอร์เทนผู้คน ทั้งหมดนี้ค่อยๆ เกิดขึ้นไปตามจังหวะ เวลาของชีวิต
“หนูเชื่อในเรื่องจังหวะ เวลา และโอกาส ถ้าสามสิ่งนี้มาพร้อมกันแล้วเราพร้อมด้วย ทั้งการเตรียมตัว การดูแลตัวเองหรืออะไรก็ตาม ก็คือจบ อาจใช้เวลานานหน่อย อาจต้องรอโอกาสอีกนิด หนูรู้สึกว่าสมหวัง-ผิดหวังเป็นเรื่องปกติ หลับตาตื่นก็เช้าแล้ว
ถอดรหัสมายด์เซตสร้างความสุขของนารา เทพนุภา
1. ใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะให้คุ้มค่า หากเป็นนักเรียนก็ตั้งใจเรียน หากทำงานก็ทำงานให้ออกมาดี
2. สิ่งที่เราได้ทำล้วนสร้างประสบการณ์ที่ดีในชีวิต และอย่างน้อยก็ทำให้เรารู้จักตัวเองในมุมอื่นมากยิ่งขึ้นว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร
3. ยอมรับความเสียใจของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะได้แก้ไขหรือมูฟออนต่อไป
4. อย่าลืมว่าสิ่งดีๆ ที่ตัวเองหว่านเมล็ดไว้จะออกดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวเสมอ
5. เตรียมตัวเองให้ดี พร้อมรับจังหวะ เวลา และโอกาสที่จะเข้ามา แล้วเราจะไม่พลาดโอกาสเหล่านั้น
ติดตามชมความสนุกแบบจัดเต็มคาราเบลได้แบบฉ่ำ ๆ ได้ที่รายการ The Power Gang