Summary
เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพมากประสบการณ์ในฐานะกองหลังทีมชาติของเขา หนุ่มคนนี้มีจุดเปลี่ยน 3 จังหวะ…ติดทีมเยาวชนทีมชาติไทย อายุ 16 เซอร์ไพรส์สุดในชีวิต มีวัยว้าวุ่นหลงระเริงกับชื่อเสียงและเงินทองดึงสติกลับมาได้ จนเป็นเหตุการณ์ที่พึงระลึก และแต่งงานมีครอบครัวซึ่งกลายเป็นหลักสำคัญของชีวิต
ตลอด 25 ปี มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับ โอ๊ต – ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ นักบอลอาชีพมากความสามารถที่ไปร่วมกิจกรรมดีๆ บนสนามคิง เพาเวอร์ โรงเรียนเทพสิรินทร์ พุแค ที่สระบุรีมากับคาราวานฟุตบอล ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ปี 2566
“ผมได้ไปสอนการแย่งบอลกับการอินเตอร์เซกช่วงชิงโอกาสในการครองบอลให้กับน้องๆ เพราะผมเป็นกองหลัง” เขาได้ไปช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ในการเล่นบอลให้กับเยาวชนที่นั่น
ด้วยสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปจากลมหายใจของเขาเลย นั่นคือ ‘ฟุตบอล’ เพียงแต่รูปแบบที่เจอกับเจ้าลูกกลมๆ นี้ล้วนมีบริบทและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปแตกต่างกันเท่านั้น ตั้งแต่อดีตกองหลัง นักฟุตบอลทีมชาติไทย ปัจจุบันเขาเป็นนักวิเคราะห์เกมการแข่งขันฟุตบอลและโค้ชเยาวชนของอะคาเดมีทีมเมืองทองธานี ยูไนเต็ด
“ชีวิตผมมีจุดเปลี่ยนชีวิต 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็คิดว่าตัวเราเองนั่นแหละ
ที่จะเป็นคนเลือกสานต่อ แก้ไข และลงมือทำให้ดำเนินต่อไปอย่างไร
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีฟุตบอลเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเสมอ”
ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ อดีตกองหลัง นักฟุตบอลทีมชาติไทย
ชีวิตวัยรุ่นก็ว้าวุ่นตลอดเมื่อได้รู้จักฟุตบอล
ก่อนรู้จักฟุตบอล โอ๊ตได้ทำความรู้จักเจ้าลูกทรงกลม 2 ชนิดมาก่อน คือ วอลเลย์บอลกับตะกร้อ ถึงขั้นเป็นนักกีฬาเยาวชนตะกร้อเขตนครสวรรค์ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเขามีความสุขกับการเล่นฟุตบอล จนถึงเวลาต้องเลือกและโอกาสก็เข้ามาเยือน เด็กอายุ 15 ปี ในตอนนั้นก็ตั้งใจเต็มที่จนติดฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกไปแข่งที่ประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยอายุเพียง 16 ปี และกลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ชีวิตเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เด็กๆ ผมไม่มีแพสชันอะไรทั้งนั้น แค่รู้ว่ากีฬาเล่นแล้วได้ออกกำลังกายและรู้สึกสนุกด้วย พอมีโอกาสเข้ามาก็ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่เท่านั้น บวกกับอาจเป็นเพราะผมเป็นลูกคนกลาง พี่ชายและน้องชายเป็นเด็กเรียนเก่ง แต่เรื่องเรียนไม่ใช่ทางเรา พอเจอสิ่งที่คิดว่าใช่ก็เลยลองมุ่งไปดู แล้วก็พิสูจน์ว่าทำได้ต่อเนื่องจริงๆ”
อีโก้คือตัวทดสอบชีวิต
เมื่อกลายเป็นกองหลังทีมชาติไทยด้วยวัยเพียง 18 เหมือนความสำเร็จที่ได้มากลายเป็นดาบสองคมที่ให้ได้เรียนรู้ว่า จะไปต่ออย่างแข็งแกร่งหรือโซซัดโซเซ เพราะมีชื่อเสียงมีเงินทองก็ติดเพื่อนติดเที่ยว จนเขาถามตัวเองว่าจะปล่อยชีวิตไปอย่างนี้ตลอดหรือ เลยกลับไปอยู่บ้านนครสวรรค์หนึ่งเดือนเต็มๆ เพื่อตั้งหลักและเริ่มชีวิตใหม่กับการติดทีมชาติอีกครั้ง แล้วเหตุการณ์ช่วงนั้นกลายเป็นเรื่องที่ช่วยเตือนสติเขาได้ตลอดเวลาว่า อย่ายึดติดกับความสำเร็จ
หลายคนอาจจำฝีเท้าเขาได้จากการเตะฟุตบอลโกลเดนโกลนัดชิงชนะเลิศที่ทีมชาติไทยเอาชนะทีมชาติเวียดนามคาบ้าน การแข่งขันซีเกมส์ 2003 ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ หลังต่อเวลาไทยกับเวียดนามยิงเข้าได้คนละ 1 ลูก แต่ในนาทีที่ 96 เขาคือคนทำให้คนไทยได้เฮกันทั้งประเทศ
หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็วิ่งหา แต่เขากลับมองเป็นปกติเพราะวันที่เล่นได้ดีทุกคนก็จะมาหาเรา วันที่เล่นไม่ดีคนก็จะด่า ดังนั้น ‘โกลเดนโกล’ ลูกนั้นเป็นแค่จังหวะของการเล่นฟุตบอลมากกว่า เขามอง “ถ้าเรามัวเหลิงกับเหตุการณ์หรือยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ก็จะทำให้เราไม่ได้รับรู้ความสำเร็จในครั้งต่อๆ ไป สู้ใช้ชีวิตที่ขอไปทดสอบความท้าทายและความสำเร็จในครั้งต่อไปดีกว่า”
Suggestion
เรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้
• คำสารภาพที่ยอมรับว่าใช้คอมพิวเตอร์หรือการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ไม่เป็น
และไม่รู้จะยอมเรียนรู้เมื่อไร เพราะมีภรรยาและลูกสาวคอยช่วยตลอด
• รถกระบะคือรถคู่ใจของเขาเสมอ
แม้ไปทำรายการฟุตบอลใส่สูทผูกเนกไท แต่มักใช้กระบะจนหลายคนรู้ว่าพี่โอ๊ตมาถึงสถานีแล้ว
ขอแค่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงเพื่อเห็นฝีมือตัวเอง
ชีวิตนักบอลอาชีพของเขา ถ้าเป็นเส้นกราฟก็เรียกว่าผันผวนไม่น้อย จากนักค้าแข้งภูธรสู่การเป็นแชมป์ลีกให้กับทีมต่างๆ แต่ก็มีวันที่ประคองการต่อจุดไปเรื่อยๆ เพราะเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ออกไปวาดลวดลายบนสนาม เขาจึงคิดย้ายทีมเพื่อหาโอกาสให้ตัวเองได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเสมอ โดยไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นทีมใหญ่เท่านั้น
“ผมเชื่อว่าการได้ลงแข่งขันเป็นตัวจริงจะทำให้เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองแล้วนำมาพัฒนาต่อ โดยไม่ได้ลดคุณค่าของตัวเองลง บางคนอาจคิดว่าได้อยู่ทีมใหญ่และได้รับเงินเดือนสูงด้วยก็น่าจะอยู่ต่อ แต่ไม่ใช่ผม ซึ่งจำนวนทีมค้าแข้งฟุตบอลอาชีพที่ผมย้ายไปเล่นมีทั้งหมด 11 ทีม” (ธนาคารกสิกรไทย, ยาสูบ, โอสถสภา, การไฟฟ้าฯ, ชลบุรีเอฟซี, เมืองทองยูไนเต็ด, เทโรฯ, บางกอกเอฟซี, พัทยายูไนเต็ด, แอร์ฟอร์ซยูไนเต็ด และราชนาวี)
แพสชันพาไปสู่ความเป็นไปได้ของโอ๊ต ณัฐพร
• แพสชันอาจไม่สำคัญเท่ารู้ว่าไทม์มิ่งนั้นควรทำอะไร ซ้อม ลงแข่ง เล่น พักผ่อนแล้วเอนจอยกับกิจกรรมตอนนั้นเป็นพอ
• ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนหรือจุดแข็งตัวเอง ต้องหาจุดแข็งตัวเองให้เจอแล้วดึงมันออกมาใช้
• การยึดติดความสำเร็จในอดีต จะทำให้ไม่เจอความท้าทายและความสำเร็จในอนาคต
• ทุกอย่างเป็นไปได้แค่ลงมือทำ ฝึกฝน อดทน ต่อสู้ และพยายาม
• การได้ลงเล่นเป็นตัวจริงสำคัญกว่าไม่ว่าจะอยู่ทีมระดับไหน เพราะได้เห็นพัฒนาฝีเท้าของตัวเอง
Suggestion
ทุกคนสามารถ ‘เก๋าเกม’ ได้
นักกีฬาหนุ่มคนนี้ไม่ได้มองว่าความเก๋าเกมคืออยู่ในทีมใหญ่หรือวัยวุฒิที่เล่นมานาน แต่หมายถึงการได้ศึกษาเกมการเล่นคู่ต่อสู้ และมักจะประเมินคู่แข่งให้เก่งกว่าตัวเองเสมอเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาตัวเอง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมินการคู่แข่งได้ถูกต้องตลอดเวลา
“ผมรู้ว่าจุดอ่อนของผมอยู่ที่เป็นนักฟุตบอลที่ตัวใหญ่เลยทำความเร็วไม่เท่าคนอื่น ดังนั้นต้องสร้างการมองเกมให้ออกเพื่อมาปิดจุดอ่อน ส่วนตัวยังเชื่อว่าถ้าทุกคนมีโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในทุกสัปดาห์ของการเล่นอาชีพ ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้พัฒนาฝีเท้า จนเก๋าเกมได้เหมือนกันหมด”
จนถึงวันที่ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ในวัย 37 ปี ตอนนั้นมีเป้าหมายในใจที่อยากจะเป็นโค้ชฟุตบอล พร้อมกับเริ่มมีงานวิเคราะห์คอมเมนต์เกมฟุตบอลทางโทรทัศน์ ก็ค่อยๆ พัฒนาสิ่งที่ไม่เคยทำให้ดียิ่งขึ้น พอประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพก็ได้รับโอกาสให้ไปเป็นโค้ชเยาวชนทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด เลย จนตอนนี้ทำหน้าที่นี้มา 5 ปี และสอบไต่ระดับการเป็นโค้ชจากระดับ C ไป B และ A ซึ่งตอนนี้เป้าหมายคือสู่ระดับโปรเพื่อสามารถคุมทีมไทยลีกและทีมชาติได้
นักฟุตบอล – คอมเมนเตเตอร์ – โค้ช
อาชีพของชายคนนี้มักเริ่มจากจุดเล็กๆ เสมอ โดยไม่คาดหวังผลเกินตัวเพียงแค่บอกกับตัวเองว่าทำตอนนั้นให้ดีที่สุดพอ แต่เขาก็มองว่านักฟุตบอลกับนักวิเคราะห์เกมฟุตบอลเหมือนกันตรงที่รู้จักแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ได้ เพราะทุกอย่างเกิดเรียลไทม์ ส่วนความแตกต่างอยู่ที่นักฟุตบอลอาจเล่นไปด้วยจิตวิญญาณ แต่อีกงานต้องอยู่หน้ากล้องต้องปรับบุคลิกภาพให้ดูดี พูดจาฉะฉานให้เข้าใจง่าย เมื่อพลาดก็ต้องคิดคำให้ดีก่อนจะพูดออกไป
“ตอนเป็นนักเตะเวลาเล่นพลาดเสียงตะโกนต่อว่าก็มาทันที งานวิเคราะห์เกมแข่งเมื่อทำไม่ดี ฟีดแบ็กก็จะมาทางโซเชียลมีเดียทันทีเช่นกัน ต้องยอมรับและไปลุยแก้เหตุการณ์ตรงหน้าให้เร็ว แต่โดยรวมถือว่าโชคดีมาก เพราะอาชีพที่เคยทำและกำลังทำอยู่ คือวงการฟุตบอลทำให้เชื่อมโยงทุกอย่างได้เพียงแต่คนละบทบาทและวาระกัน”
เส้นทางและบทบาทที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลของผู้ชายคนนี้น่าจะทำเห็นแล้วว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าเราได้ลงมือทำ หลังจากนี้ก็เอาใจช่วยให้เขาได้เอาชนะความท้าทายและความสำเร็จอีกขั้นกับการได้เป็นโค้ชระดับลีกและโค้ชทีมชาติกันต่อไป
ชมพิธีเปิดคาราวานฟุตบอล ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ปี 2566