SLAPKISS วงดนตรีที่มีเครื่องดนตรี 3 ชิ้นจากสามศิลปินที่ประกอบไปด้วย โด้ – ธนากร อังสนันท์ (ร้องนำ) ปิ่น – ปิ่นมนัส เลิศสินอุดม (กีตาร์) และ อาร์ม – ฤทธิไกร ถันชมนาง (คีย์บอร์ด – แซกโซโฟน) เจ้าของเพลงเศร้าที่เราคุ้นหูกันดีอย่าง “ให้ลืมได้ไง” “แฟนเก่าคนโปรด” และล่าสุด “เกือบเหมือน (Synonyme)” เพลงในโพรเจกต์พิเศษ “Midnight Express”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นที่รู้จักจากเพลงอกหัก แต่อีกด้านก็มีเพลงเสริมสร้างพลังแห่งความรัก (ตัวเอง) เป็นตัวแทนของกำลังใจ พร้อมจับมือทุกคนให้ก้าวผ่านวันเลวร้ายไปด้วยกันอย่างเพลง “ถ้าเธอไม่ไหว” ที่เขาทั้ง 3 คน และ BEAN NAPASON (บีน นภสร) ร่วมกันสรรค์สร้างเป็นเพลงพิเศษสำหรับเวทีการประกวดดนตรีแห่งปี อย่าง THE POWER BAND 2022 Season 2 จัดโดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ที่ชวนทุกคนที่มีฝัน ให้กล้าฝัน! กล้าทำ! พร้อมไปกันให้สุดทาง เหมือนอย่างที่ SLAPKISS ได้ล่วงหน้าฟันฝ่าบนถนนสายดนตรีมาแล้ว
ถ้าชวนคุยเรื่องดนตรี…พวกเขาเล่าได้ยาวและไม่มีเบื่อ เราได้นั่งคุยกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด แบบศิลปินที่อยู่กับโครงการประกวดนี้ทุกเวที ดูเหมือนพวกเขาจะได้เล่าถึงเพลงของวงอย่างสนุกสนานแล้ว ยังแชร์ตัวตน ความสนใจ และมุมมองของหนุ่ม SLAPKISS ที่เต็มไปด้วยความทุ่มเทด้วยความหลงรักในการทำเพลงทำดนตรีของพวกเขาให้เราฟังด้วย
“ใครที่อยากเป็นศิลปินหรืออยากทำอะไรก็ตามให้สำเร็จ
ขอแนะนำ 3 อย่าง… กล้าทำ ลงมือทำจริงๆ
แล้วก็ทำอย่างต่อเนื่อง 3 อย่างนี้มันจะทำให้เรากระโดดไปอีกขั้น
ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน”
อาร์ม – ฤทธิไกร ถันชมนาง (คีย์บอร์ด – แซกโซโฟน) วง SLAPKISS
จากเพื่อนกันสู่การเป็นเพื่อนร่วมวง
ปิ่น: ปิ่นกับโด้เรียนมัธยมมาด้วยกันที่ขอนแก่นครับ พอเข้ามหาวิทยาลัย ปิ่นก็มาเรียนดนตรีกับอาร์มที่มหาวิทยาลัยมหิดล พอทำงานกับอาร์มมาสักพักก็รู้สึกว่าเรามาทำเป็นวงดีกว่า ตอนนั้นโด้เรียนจบพอดี แล้วก็มาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเราสนิทกันตอนมัธยม เคยทำวงด้วยกันเลย พอเรียนจบปุ๊บเขาไม่ได้อยากทำงานตามที่เรียนมา ก็เลยชวนมาร้องเพลง
โด้: ผมเรียนจบด้านบริหารมา แต่ชอบอาชีพนี้แบบพีคๆ ก็เพราะปิ่น ตอนช่วงฝึกงานเคยวางแผนไว้แล้วว่าเรียนจบคงไปต่อธุรกิจที่บ้าน แต่เกมพลิกครับ กลับจากฝึกงานเสร็จ อยู่ดีๆ ก็หลงรักดนตรี ชอบเขียนเพลง ชอบร้องเพลงไปโดยปริยาย พอคุยกับที่บ้าน เขาก็บอกว่าเอาเลย ลุยเลย ช่วงผมเรียนมัธยมเคยขอที่บ้านเรียนดนตรีแล้ว แต่เขาไม่อนุมัติ ผมก็มองว่าอย่างนั้นทำเป็นงานอดิเรกก็ได้ แล้วพอเรียนจบก็ไปคุยกับเขาอีกรอบว่าเราอยากเดินเส้นทางนี้นะ สุดท้ายแล้วที่บ้านก็บอกว่าเรียนจบแล้ว อยากทำอะไรทำเลย ผมเลยเลือกที่จะมาเดินเส้นทางสายนี้
3 ความชอบ 3 สไตล์ เขย่าออกมาได้เป็น SLAPKISS
โด้: โด้ชอบไปทางญี่ปุ่นครับ J Rock, J Pop ตอนนี้ก็ J Indy เราฟังเพราะรู้สึกว่าญี่ปุ่นไม่เหมือนใครครับ ฟังเยอะจนรู้สึกว่าใต้จิตสำนึกเราบางอย่างมันได้เมโลดีแบบนั้นมา รู้สึกผูกพันไปทางนั้นเยอะ
ปิ่น: จะติดพวกเพลงสากลครับ แต่จริงๆ ก็ฟังหมด เหมือนพี่อาร์ม พี่อาร์มก็ฟังหมดทุกแนว แต่คิดว่าลองทำเพลงสไตล์ญี่ปุ่นไหม ก็เชียร์เพื่อนให้ทำ
อาร์ม: ความที่เราชอบคนละแบบ ปิ่นเป็นคนเรียบๆ ก็ต้องหาตรงกลาง บางอย่างทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทดลองไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ลงตัวขึ้นเยอะ
เริ่มนับ 1 ก่อนจะถึง “วง” นี้
ปิ่น: ปิ่นรู้ตัวเองตั้งแต่ ม. 4 ว่าอยากเล่นดนตรี ผมเล่นดนตรีตั้งแต่ ม. 2 ชิ้นแรกเล่นกลอง เล่นได้อยู่ 3 เดือนก็เปลี่ยนมาเล่นกีตาร์แทน เพราะช่วงนั้นไม่มีกลองให้ซ้อม กีตาร์มีเพื่อนเอามาเล่นที่ห้องเรียน ผมเล่นอะไรก็ได้แค่ขอให้ผมได้จับเครื่องดนตรี บังเอิญผมได้จับกีตาร์เยอะกว่า ผมก็เลยเป็นเร็วกว่ากลอง เลยมาทางนี้เลย
ฟังเพลงมาทั้งชีวิต พอ ม. 2 เพิ่งจะมาฟังแล้วก็รู้สึกว่าเสียงพวกนี้มันคืออะไร เสียงกลอง เสียงเบส เพราะจัง ยืนอยู่หลังนักร้องแต่ดูเท่จัง ผมเลยไปดู MV เพลงแรกที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรี คือเพลงกอด ของ NOS ดู MV เขาก็มีเครื่องดนตรี 4 ชิ้น กลอง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด ถูกใจกลองนั่นแหละมันได้ออกแรงดี ก็เลยเริ่มเรียนกลอง ก่อนจะไปกีตาร์
อาร์ม: ผมเป่าแซกโซโฟนครับ เริ่มตั้งแต่ตอน ป. 5 – ป. 6 อยู่วงดุริยางค์ ก็เล่นมาเรื่อยๆ เบสไฟฟ้าก็เคยเล่น แตร ทรัมเป็ตก็เคยเล่นมา เข้าวงดุริยางค์เพราะห้องที่ผมอยู่ประจำจะอยู่บนชั้น 2 ห้องดนตรีอยู่ข้างล่างทางขึ้นพอดี ก็เลยแวะ แอร์ดูเย็นดี ในห้องเรียนคีย์บอร์ดแบบวางเรียงกัน 10 20 ตัว ผมเลยไปนั่งจิ้มนั่งเล่น สมัยนั้นโรงเรียนเพิ่งสั่งซื้อเครื่องดนตรีเข้ามา ลองเล่นแล้วก็ติดใจ ปัจจุบันผมเล่นคีย์บอร์ดด้วย ผสมๆ กันไป ด้วยความที่ผมเล่นแซกฯ เป็นอยู่แล้ว เลยหนีไม่พ้นว่าต้องมีแซกฯ อยู่ในวงด้วย ยังรู้สึกว่ามันแปลก แต่ก็เป็นความท้าทายของวงด้วยว่า ทำอย่างไรให้แซกที่ปกติคนฟังจะมีอายุหน่อย ให้เพลงออกมาเป็นตัวของตัวเอง ให้มันดีเป็นสีสันใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
โด้: การมาเป็นศิลปินนี่ห่างไกลจากที่ผมเคยฝันตอนเด็กๆ มาก ผมมารู้ตัวว่าอยากเป็นนักร้องก็ตอนจะเรียนจบแล้ว คิดว่าได้ร้องเพลง ได้ทำเพลงออกมาก็เอาแล้ว แต่พอมาทำจริงๆ มันมีอะไรอีกเยอะที่ต้องสู้ต้องพยายาม
“ผมชอบตรงที่ความเป็นศิลปินทำให้คนนับล้านยิ้มได้พร้อมกัน…
เศร้าไปด้วยพร้อมกัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นพลังพิเศษ…
เป็นอาชีพที่มอบพลังบวกก็ได้ หรืออาชีพที่ทำให้คนได้ปลดปล่อยได้ด้วย”
โด้ – ธนากร อังสนันท์ (ร้องนำ) วง SLAPKISS
Suggestion
SLAPKISS ในแบบที่พวกคุณคิด
โด้: ที่เรานิยามกันมาตลอด คืออกหักยังไงก็ได้ให้ยังเท่อยู่ มันก็เสียใจนะ เจ็บ แต่เท่ ที่เราคิดกัน ซึ่งจริงๆ คำนี้เราไม่ได้เป็นคนนิยามก่อน แต่มีคนพูดถึงในทวิตเตอร์ เราก็คิดว่าเราเป็นแก๊งแบบสามแสบ ไม่ได้นิยามวงตัวเองขนาดนั้น แต่มีคนพูดว่า SLAPKISS อกหักแต่ก็ยังเท่ เนื้อเพลงบอกว่า เจ็บๆ อกหักนะ แต่ซาวนด์ดนตรีก็ต้องเท่นะ
พลังของความเป็นศิลปินในแบบที่คุณชอบ
โด้: ผมชอบตรงที่ความเป็นศิลปินทำให้คนนับล้านยิ้มได้พร้อมกัน…เศร้าไปด้วยพร้อมกัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นพลังพิเศษบางอย่างตรงที่สมมติเราปล่อยเพลงออกมาคนดูจะหนึ่งล้านหรือหนึ่งแสนก็ไม่เป็นไร มันเป็นอาชีพที่มอบพลังบวกก็ได้ หรืออาชีพที่ทำให้คนได้ปลดปล่อยก็ได้
อาร์ม: มองมุมต่างของผมก็จะเป็นเรื่องเล่นคอนเสิร์ต เรื่องการโชว์ ผมจะรู้สึกว่าความที่เราเรียนดนตรีมาก็อยากเอาสิ่งที่เรียนมาเอาไปใช้ประโยชน์ ตอนนี้ได้ใช้อย่างเต็มที่สุดๆ แล้ว มันอาจจะต้องไปได้มากกว่านี้ด้วย
ปิ่น: ของผมเป็นเรื่องแฟนคลับครับ บางทีเรามีส่วนทำให้เขามีความคิดที่ดีได้ ถ้าเขามีเราเป็นไอดอลในเรื่องของความคิด เวลาที่ออกสื่อแล้วเราเล่าเรื่องต่างๆ หรือตอน Live ทาง IG ก็เล่าว่าเราแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร เคยมีคนถามว่าอกหักทำอย่างไร รู้สึกว่าเราได้แชร์ในมุมของเรากับคนฟัง แล้วเขารู้สึกว่าอยากเอาความคิดของคนนี้เป็นแบบอย่างที่ดี เหมือนเสียงเราดังขึ้น
เพลงไหนที่บอกความเป็น SLAPKISS ได้ดีที่สุด
โด้: น่าจะเป็นเพลง “รู้ว่า” เพราะมันบาลานซ์ครับ ทั้งเครื่องเป่า ไลน์กีตาร์ และเสียงร้อง สำหรับผมเป็นด้านความเศร้า เพลงนั้นผมว่า ผมได้อัดเต็มและมันเป็นส่วนหนึ่งของเรา ผมรู้สึกว่า “รู้ว่า” น่าจะเป็นเพลงที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของวงได้มากที่สุด
อาร์ม: สำหรับผมเป็นเพลง “ล้อเล่นได้มั้ย” อย่างที่โด้บอกตอนแรกว่า พวกเราคืออกหักแต่ก็ยังเท่อยู่ ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันถูกต้องครับ
ปิ่น: ของผมเพลง “รู้ว่า” เหมือนกัน เราเคยคุยกันว่า รู้ว่ามันเป็นเหมือนต้นแบบของเพลงที่จะทำหลังจากนั้น เราจะใช้ซาวนด์กีตาร์กับแซกฯ อย่างไร ซาวนด์รวมๆ อย่างไร แล้วอีกอย่างหนึ่ง เพลงรู้ว่านอกจากคนจะจำเนื้อเพลงได้ คนยังจำได้ว่า เพลงนี้ของ SLAPKISS มาจากเรื่องของเครื่องดนตรี มันมาจากเพลงนี้ อินโทรเพลงนี้มันทำให้เกิดเพลงต่อๆ ไปเรื่อยๆ
“เป้าหมายของทีมที่ตั้งเป้าไว้คือ Impact Arena…คือต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ Impact ให้ได้
ผมมองว่าการจะไปถึงจุดนั้นมันก็จะเติบโต และเรามองว่าวันหนึ่งจะทำให้ได้”
วง SLAPKISS
เพลงไหนที่อยากสร้างสรรค์
โด้: จริงๆ ผมตั้งเป้าหมายว่าผมอยากร้องเพลง…อยากเขียนเพลงเพื่อคนทุกกลุ่ม เช่น ในความอกหักก็มีอกหักหลายประเภท รักหลายประเภท ถ้าเป็นด้านดาร์กๆ ก็อาจจะเป็นมือที่สาม ซึ่งจริงๆ ผมมองว่าทุกคนบนโลกควรมีเพลงประจำกลุ่ม ทุกคนก็ควรได้ระบายอะไรบางอย่าง อย่างที่บอกเพลงสำหรับผมมันคือตัวแทนของการระบาย บางอย่างเราพูดไม่ได้ เราอาจไม่ได้เข้าใจคนทุกกลุ่ม แต่แค่เราได้นั่งฟังเขาพูด เราไม่เคยอยู่ในแบบนั้น คนแบบนี้เขาก็เสียใจเป็นนะ เขาก็มีความสุขเป็นนะ
ปิ่น: อยากทำเพลงหลายๆ แนวครับ เคยคิดในหัวไว้ว่าอยากทำ EDM Pop อย่างจริงๆ จังๆ มีท่อนดรอป อยากให้มันเป็นเสียงแซกฯ หรือเสียงกีตาร์แทนที่จะเป็นดีเจ แต่ตอนนี้พูดจากใจก็ต้องคิดถึงเรื่องปากท้องก่อน คงต้องเลี้ยงชีพกันไปก่อน เลยยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น ถ้าทำแบบสุดทางขนาดนั้น เวทีที่เราจะไปเล่นได้มันอาจจะไม่ได้มี
อาร์ม: ในเรื่องดนตรีผมอยากทำเพลงให้มันครบรส ตอนนี้เรามีเพลงช้า มีบีทมีเดียม มีเร็ว แต่เพลงช้าของเราเยอะแล้ว อยากทำเพลงเร็วบ้าง อยากมีทั้งเพลงที่ตีตลาดและเพลงที่ตามใจตัวเอง หลายๆ ศิลปินก็อยากจะทำแบบนั้น บางทีก็ไม่ได้อยากขายวิญญาณตัวเองจนเกินไป ให้มันดังเกินไปก็ไม่ดี
“เรื่องแฟนคลับ…ถ้าเขามีเราเป็นไอดอลในเรื่องของความคิด
เวลาที่ออกสื่อแล้วเราเล่าเรื่องต่างๆ
เราได้แชร์ในมุมของเรากับคนฟัง แล้วเขารู้สึกว่าอยากเอาความคิดของคนนี้เป็นแบบอย่างที่ดี”
ปิ่น – ปิ่นมนัส เลิศสินอุดม (กีตาร์) วง SLAPKISS
เส้นทางของ SLAPKISS ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
โด้: ช่วงแรก SLAPKISS ยังไม่มีเพลงฮิต ก็เลยคุยกับพี่เติร์ด Tilly Bird ว่าท้อนะ แต่ไม่ถอย แค่รู้สึกเครียด พี่เติร์ดก็บอกว่าเข้าใจ ทุกอย่างมันกดดันมากๆ แต่โด้ต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่นะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ความเป็นศิลปินมันคือศิลปะ เราก็แค่อยากทำอะไรก็ทำ แต่เขาก็มีคำพูดหนึ่งที่ทุกวันนี้มันพิสูจน์ เขาบอกว่า “เพลงดังว่ายากแล้ว อยู่ต่อว่ายากกว่า”
ปิ่น: สำหรับผมอาชีพศิลปินไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน มันต้องเดิมพันอะไรบางอย่าง ถ้าเราตัดสินใจแล้วเลือกแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ ไม่ใช่เรื่องปล่อยเพลง แต่ยังต้องแข่งขันอีกหลายด้าน
โด้: ทำไปก่อนมันอาจจะใช้เวลา 3 ปี 4 ปีหรืออาจจะ 8 ปี ใครจะไปรู้ แต่ถ้าคุณยังไม่หมดไฟ ทำไปก่อน ผมว่าเราพยายามไปแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ช่างมันเถอะ เราก็แค่ให้เวลากับตัวเองพิสูจน์ตัวเอง ผมก็มีเวลาของผม ถ้ามีความฝันทำไปก่อน อย่างผมอายุ 25 แค่ครั้งเดียว ทุกคนก็มีครั้งเดียว ถ้าคุณไปเสียดายตอนคุณอายุ 50 ว่ารู้งี้เป็นศิลปินตั้งแต่ตอน 25 ดีกว่า มันไม่ทันแล้ว ต้องตัดสินใจแล้วก็ทำเลย
อาร์ม: ใครที่อยากเป็นศิลปินหรืออยากทำอะไรก็ตามให้สำเร็จ ขอแนะนำ 3 อย่าง… กล้าทำ ลงมือทำจริงๆ แล้วก็ทำอย่างต่อเนื่อง 3 อย่างนี้มันจะทำให้เรากระโดดไปอีกขั้นไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
สู่เป้าหมายของ SLAPKISS
SK: เป้าหมายของทีมเป็นเรื่องเวทีมากกว่า ที่ตั้งเป้าไว้คือ Impact Arena…คือต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ Impact ให้ได้ ผมมองว่าการจะไปถึงจุดนั้นมันก็จะเติบโต ไม่ใช่ว่าใครจะไปเล่นตรงนั้นก็ได้ และเรามองว่าวันหนึ่งจะทำให้ได้
ปิ่น: ของผมตอนที่ยังอยู่ต่างจังหวัด จะเป็นงาน Fat Radio ซึ่งตอนนี้เป็น Cat Radio เขาไปจัดที่หอกลางที่ขอนแก่น มีทุกปี ก็ไปดูกับเพื่อน ตอนนั้นยังไม่ได้เริ่มเล่นดนตรีเลย แล้วอกหักยืนฟังเพลงเศร้า ซึ่งมันดูยิ่งใหญ่มากเลย เลยเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มเล่นดนตรี แต่พอเราเล่นดนตรีจริงก็ไม่ค่อยได้ดูเวทีอะไรอีก เอาเวลาไปทำเพลงเพื่อที่จะขึ้นไปเล่นบนเวที
โด้: ถ้าเป็นเรื่องโชว์ โด้อาจจะยังไม่มี แต่เป้าหมายของการมายืนอยู่ตรงนี้ คือมีครั้งหนึ่งที่อกหัก ฟังเพลงหนึ่งแล้วรู้สึกว่าทำไมเขาเล่าแล้วมันโดนเราไปหมดเลย ตอนนั้นก็คิดว่าถ้ามันโดนเราขนาดนี้ คือเราไม่เจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่คนเดียวในโลก ถ้าเขาร้องหรือเขาแต่งมาได้ เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกับเรา ตรงนั้นก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้อยากเป็นศิลปินครับ
อาร์ม: ผมเป็นคนชอบดูคอนเสิร์ต ชอบที่มันเป็นงานกลางแจ้ง ถ้าเป็นงานเฟสติวัลใหญ่ๆ เช่น งาน Big Mountain เวลาที่เราเป็นคนดู ยิ่งเวทีใหญ่ เราเห็นวงที่อยู่บนเวทีข้างหน้าเราเขาพูดอะไรแล้วคนดูข้างล่างทำตาม ร้องเพลงตาม นั่นเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจผมได้ดีเลย ผมอยากอยู่ในจุดนั้นบ้าง
…ทำความรู้จักวง SLAPKISS เพิ่มขึ้นอีกนิด…
● ชื่อวง
“SLAPKISS แปลตรงตัวว่า “ตบจูบ” พี่อาร์มเป็นคนคิด ลิสต์มาหลายชื่อ แต่มาดูแล้วคำนี้ก็ดูเข้าปากสุด เขียนตัวเล็กก็สวย เขียนตัวใหญ่ก็เท่ดี แล้วอ่านว่า SLAPKISS มีความซนๆ ซ่าๆ อยู่ในคำนี้หมด รู้สึกเหมาะกับพวกเราสามคน”
● ศิลปินที่อยากชวนมาแจมบนเวที
โด้: เจนนี่ BLACKPINK ได้ไหมครับ เราอยากร้องกับทุกคน เพราะทุกคนก็ต่างมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ได้ร้องกับศิลปินคนไหนก็ตามเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ
ปิ่น: Coldplay ครับ ยุคกลางๆ ประมาณสัก 4 ปีที่แล้ว ผมนั่งดูคอนเสิร์ตของวงทางออนไลน์ อินมาก ฟังหมดทุกเพลง
อาร์ม: Bruno Mars ด้วยความที่วงของเขาค่อนข้าง Funk Groove มีท่าเท่ๆ
● ถ้าคุณคือเครื่องดนตรี
ปิ่น: ผมเป็นกลองแล้วกันครับ เวลาที่ทำเพลงผมเริ่มจากกลองก่อน คิดจากบีท ผมไม่ชอบอะไรที่จับจังหวะไม่ได้ จะเล่นอะไรก็ตามผมต้องรู้จังหวะมันก่อน แล้วค่อยไปกีตาร์ แล้วก็เล่นกีตาร์ตามจังหวะกลองในหัวใจ ทำทุกอย่างมาจากจังหวะกลอง ตีกลองทั้งวัน ทั้งที่ผมเป็นมือกีตาร์
โด้: ขลุ่ย ล้อเล่น แวบแรกที่คิดผมน่าจะเป็นแซก เพราะเวลาเป่าเสียงต่ำมันจะมีความอุ่นบางอย่างสำหรับผม กับเวลามัน “ตะโกน แป๊ดดดด” ผมรู้สึกว่านั่นเป็นตัวแทนของความเจ็บปวด คล้ายนิสัยผม ถ้าผมเจ็บปวดก็ไม่ได้ยอมให้ใครมากดได้ขนาดนั้น ผมก็บอกว่าเจ็บปวดแล้วตะโกนออกมา
อาร์ม: เป็นเชลโล อันนี้คิดจริงๆ ถ้าพูดถึงตอนเล่นแซกโซโฟน ผมไม่ชอบอิงการเป่าแซกตามศิลปินที่เป็นมือแซก มีคนถามผมถึงมือแซกที่เป็นไอดอล ผมตอบไม่ได้เลย ปกติผมชอบเป่าแซกโซโฟนคัฟเวอร์ลง YouTube จะไปอิงเสียงร้องคนมากกว่า ไปแกะตามเสียงร้อง โยงมาถึงเชลโล ด้วยความที่เชลโลตอนที่ผมเล่นมันมีช่วงต่อจากนักร้องหรือช่วงเสียงหวานๆ แล้วต้องเป่าลากๆ ผมจะนึกถึงเสียงเชลโลที่ค่อยๆ สีเพลงออกมา ผมนึกเป็น Mindset อย่างนั้นแล้วก็เป่าออกมา เลยอาจจะได้ซาวนด์ที่เป็นของผมเอง