“วงนี้เข้ารอบแน่!” เสียงของกลุ่มคนดูที่คุยกันถึงวงที่พวกเขายังไม่ทันเห็นการแสดงจริงเริ่มคอมเมนต์เพราะเห็นแวว ดังออกมาหลังจาก The Pump วงดนตรีที่เข้าประกวดรุ่น Class B ในการประกวด THE POWER BAND 2022 SEASON 2 จัดโดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย สนามที่ 2 ‘ชลบุรี’ แค่เริ่มซาวนด์เช็ก
จังหวะดนตรีที่หนักแน่นตั้งแต่โน้ตแรกที่ส่งมาถึงโสตประสาทของผู้ชมและคณะกรรมการ เหมือนกำลังสื่อสารว่า “พวกเรามั่นใจ” แม้ว่าแนวเพลงของวงจะเข้าถึงคนฟังบางกลุ่มก็ตาม พวกเขาสมาชิกทั้ง 5 นิยามความเป็นตัวเองไว้ว่าเป็นวงดนตรีแนว Alternative Rock กรุ่นกลิ่น Pop-Punk ผสม Emo ที่เชื่อว่า “จงกล้าเป็นตัวเองแล้วคุณจะโดดเด่น”
“วงเรามีแก่นของ Pop-Punk ผสม Emo ครับ” ต้อง – อาทิตย์ ผลโพธิ์ ร้องนำ/กีตาร์ ยังบอกด้วยว่า นี่เป็นแนวเพลงที่ทุกคนในวงชอบ มันทรงพลัง และเชื่อว่าทุกคนจะทำออกมาได้ดี เชื่อถึงขั้นมองข้ามประเด็นที่ว่าจะเป็นแนวเพลงที่ตลาดชอบหรือไม่ก็ตาม และนั่นก็ดูไปกันได้ดีกับชื่อวง The Pump (เดอะ ปั๊มพ์) ชื่อที่พวกเขาบอกว่า มันคือการสูบฉีด การกระตุ้น เปรียบได้กับแนวเพลงของวงที่ต้องการสื่อออกไปด้วยเสียงเพลงที่ฟังแล้วเลือดต้องสูบฉีด อะดรีนาลินต้องหลั่ง และสนุกไปกับเพลงของวงอย่างหยุดไม่ได้
“มันเป็นแนวเพลงที่มีความทรงพลัง และยังไม่ค่อยเห็นใครเล่นในประเทศไทย ถ้ามองในแง่ดี ผมว่านี่คือเอกลักษณ์ของวง คือความแตกต่าง และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงเราเข้าตากรรมการ” เบสท์ – วรากร สุภาวีระ มือเบส เล่าเสริม “ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ ‘ความกล้า’ ด้วยครับ” ต้องอธิบายต่อเมื่อเราถามว่าอะไรคือจุดเด่นที่ทำให้ชนะใจกรรมการ จนสามารถผ่านเข้าเส้นชัยไปสู่รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ “ความกล้าที่พวกเราชอบแนวนี้และก็นำมาปรับให้เป็นตัวเอง แสดงให้กรรมการเห็น มันเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีใครเอามาประกวด และกรรมการก็ชมว่าเราทำได้ดี”
“มีเอกลักษณ์ มีสไตล์ที่ชัดเจน” นี่คือคำชมจากคณะกรรมการในวันนั้น ที่พอจะให้เรา “เห็นภาพ” ความโดดเด่นในการแสดงบนเวทีการประกวดเมื่อวันที่สนามชลบุรี
“สุดท้ายแล้วพอมองย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นที่พวกเราตั้งวงหรือเริ่มเล่นดนตรี เราก็แค่ชอบที่จะได้เล่นดนตรีแนวนี้ ผมว่าแค่นั้นมันก็พอแล้ว ให้คนอื่นได้เห็นว่า เราเล่นแบบนี้นะ แนวเพลงแบบนี้มีอยู่ในประเทศไทยนะ และเราก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น” เบสท์เล่าเสริม
แต่กว่า The Pump จะค้นพบตัวเอง พวกเขาก็หลงทางกันมาหลายปี ย้อนกลับไป 7 ปีก่อน เบสท์ มือเบส และ บ็อบบี้ มือกีตาร์ ฟอร์มทีมวงดนตรีขึ้นมา ก่อนจะได้เจอกับ ต้อง นักร้องนำ, ฮาร์ท มือคีย์บอร์ด และเอ มือกลอง สมาชิกคนสุดท้ายของวง ต่างที่มา ต่างสไตล์ เป็นธรรมดาที่ช่วงปีแรกๆ พวกเขาจะหาแนวของวงไม่เจอ แต่พวกเขาก็บอกว่า มันเป็นช่วงที่ได้ลองผิดลองถูก ได้ตกตะกอน กว่าจะเจอทางที่ใช่ แม้จะต้องใช้เวลานานขนาดไหนก็คุ้ม!
“มีครั้งหนึ่งพวกเราไปร่วมงานดนตรีแล้วมีคนให้คำแนะนำว่า เราต้องไปหาแนวตัวเองให้เจอก่อนเราถึงจะแตกต่าง มันไม่ใช่แค่คุณเล่นดนตรีเก่ง มีฝืมือ คนเหล่านี้มีเยอะแยะ แต่ถ้าคุณอยากจะแตกต่างคุณต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ต้องเล่า
“พวกเรามานั่งคุยกับเลยว่า ตกลงแล้วแนวเพลงไหนที่ชอบ เพลงแนวไหนที่เล่นแล้วมีความสุข และมันจะพาพวกเราไปได้สุดบนเวที คำตอบสุดท้ายมันคือ Alternative Rock ที่มีกลิ่นอายของ Pop-Punk ผสม Emo นี่แหละคือตัวตนของพวกเราทุกคน พอมันมีแกนที่ชัด พวกเราก็มุ่งมาที่นี้เลย เบสท์เล่าเสริม
แม้ The Pump จะมีตัวตนของวงที่ชัดเจน DNA ของทุกคนคือแนวดนตรีเดียวกัน ราวกับหายใจด้วยจังหวะเดียวกัน แต่เวลาที่สปอตไลต์สาดลงที่ใคร ดูเหมือนพวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าจะดึงตัวตนที่โดดเด่นมาผสมกับตัวตนของวงให้กลมกลืนได้อย่างไร เบสท์เล่าว่า ตัวเขาเองจะเป็นคนดูภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่การแต่งเพลงและทำนอง แต่นั่นก็เป็นแค่แกนหลักเท่านั้น สมาชิกทุกคนสามารถครีเอตตัวตนลงไปได้ว่าใครอยากเล่นแบบไหน ทำให้การแสดงบนเวทีของ The Pump ทุกเพลง ทุกคนในวงโดดเด่นเท่ากันหมด รวมไปถึงการซ้อมเพื่อลงแข่งเวที THE POWER BAND 2022 SEASON 2 สนามที่ 2 ชลบุรีด้วยเช่นกัน “เอาจริงๆ พวกเรามีเวลาซ้อมไม่ถึงเดือน เพราะกว่าจะรู้สนามแรกขอนแก่นก็แข่งไปแล้ว”
ปกติแล้วพวกเขาจะซ้อมกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่การซ้อมเพื่อลงแข่งสนามจริงด้วยเวลาไม่ถึงเดือนก็ถือว่ากดดันพอตัว
เอ๊ะ! บอกไปหรือยังนะว่า The Pump เป็นวงจากกรุงเทพฯ ที่เลือกลงแข่งที่สนามภาคตะวันออก เหตุผลนะเหรอ พวกเขาบอกว่า “จำได้ว่าจากงานแถลงข่าวมีใครสักคนบอกไว้ว่า การประกวดรายการนี้สามารถลงแข่งภาคไหนก็ได้ ถ้าตกรอบก็สามารถไปสมัครภาคอื่นได้อีก ซึ่งตอนนั้นสนามขอนแก่นแข่งไปแล้ว สนามต่อไปคือ ชลบุรี ซึ่งก็ใกล้ด้วย พอดีมีคลิปที่เล่นกันไว้ งั้นก็สมัครเลย ถือว่าลองสนาม ถ้าสนามนี้ไม่ผ่านเราก็จะได้กลับมาพัฒนาแล้วซ้อมต่อเพื่อลงแข่งสนามกรุงเทพฯ” ต้องเล่าเหตุการณ์วันนั้น
รวมระยะเวลาซ้อมเพลงใหม่ตามโจทย์ไม่ถึงเดือน สนามกรุงเทพฯ ที่พวกเขาพูดถึงจึงไม่ใช่สนามรอบคัดเลือกอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
Suggestion
“เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับพวกเรามาก เป็นเวทีระดับประเทศที่ไม่จำกัดโอกาสใครเลย และโจทย์มันดูสนุก เขาให้ลิสต์ที่มีเพลงให้เลือก 100 เพลง จะเลือกเพลงอะไรก็ได้และสามารถทำอะไรกับมันก็ได้ นั่นแหละ แล้วเราจะทำอย่างไรให้เพลงที่ติดหูคนฟังไปแล้วมันกลายเป็นแนวเพลงพวกเรา และฟังแล้วต้องลืมภาพแนวเพลงเดิมไปเลย” เบสท์เล่า
สมาชิกคนอื่นๆ ยังเสริมต่ออีกว่า วง The Pump แม้จะเคยผ่านเวทีการประกวด ขึ้นแสดงงานดนตรีมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเข้ารอบสุดท้ายสักครั้ง สำหรับพวกเขา การประกวดก็คือการหาประสบการณ์ แพ้ชนะไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุดบนเวที เล่นให้ดีกว่าตอนซ้อม และทุกคนในวงต้องมีความสุข ทั้งหมดนี้คือชัยชนะของวง “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเคยผ่านเข้ารอบ 9 วงสุดท้ายของการประกวดที่จัดโดยค่ายเพลง Music Move คอมเมนต์จากคณะกรรมการในตอนการประกวดครั้งนั้น ทำให้พวกเรารู้ว่าจริงๆ เป้าหมายของการทำวงคืออะไร ได้จุดพลังให้เราอยากหาประสบการณ์บนเวทีประกวดมากกว่านี้ ตอนนั้นสิ่งที่พวกเราบกพร่องคือ พลังไม่มี เล่นสดพลังมันต้องมาทันที เราก็เอากลับมาแก้และซ้อมกันหนักขึ้น”
หน้าที่หลักในวงของทุกคนคือการซ้อมเพื่อให้หายใจในจังหวะเดียวกัน ส่วนหน้าที่รองที่ทุกคนต้องทำเช่นกัน ก็คือเติมแรงบันดาลใจและพลังให้ตัวเองเพื่อพัฒนาฝีมือการเล่น
ฮาร์ท – ณัฐนนท์กฤช ทองธิว มือคีย์บอร์ดของวง ถ่ายทอดการทำการบ้านหาแรงบันดาลใจของวงมาว่าการดูวงดนตรีต่างประเทศช่วยได้มาก ปกติแล้วเขาจะดูการใช้ซาวนด์คีย์บอร์ดของแต่ละวง “แต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกมีพลังและอยากจะเก่งให้ได้เหมือนเขาคือ จอร์แดน ฟิชเชอร์ (Jordan Fisher) มือคีย์บอร์ดวง Bring Me the Horizon เขามีการนำซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้วสามารถเข้ากับวงได้ตลอด ถึงแม้ว่าวงจะเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ทำให้คนฟังฟังแล้วรู้เลยว่า เพลงนี้เป็นของวงนี้”
ฮาร์ท- ณัฐนนท์กฤช ทองธิว (คีย์บอร์ด) และ บ็อบบี้- รณกร ชาประเสริฐ (กีตาร์)
เช่นเดียวกับ บ็อบบี้ – รณกร ชาประเสริฐ มือกีตาร์ การหาแรงบันดาลใจและแนวดนตรีของเขาคือการฟังเพลงแนวนี้เยอะ หรือถ้ามีเพลงไหนที่เพื่อนในวงแนะนำเขาก็ลองแกะลองเล่นแล้วก็ปรับใช้ให้เป็นแนวตัวเอง “ผมชอบจอห์น เมเยอร์ (John Mayer) อาจจะไม่ใช่แนวเดียวกับที่ผมเล่น แต่ผมชอบความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่สามารถทำแนวเพลงบลูส์ที่เขาชอบให้มันไปกับยุคสมัยได้”
ส่วนนักร้องนำของวงอย่าง ต้อง – อาทิตย์ ผลโพธิ์ ร้องนำ/กีตาร์ การดูวงดนตรีแนว Pop-punk ของต่างประเทศ ช่วยทำให้เขาไม่ลืมความฝัน แต่ถ้าถามว่าใครคือไอดอลของเขา ต้องบอกว่า “พี่อู๋ The Yers ครับเพราะเขาเป็นคนที่เล่นกีตาร์ด้วย ร้องด้วย ผมเริ่มฟังเพลงของเขาแล้วผมชอบสไตล์การเล่น ที่สำคัญเขามีทัศนคติที่ดีในการเล่นดนตรี ถ้าฝันของผมคือการเป็นนักดนตรีอาชีพ ผมว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ”
ต้อง – อาทิตย์ ผลโพธิ์ (ร้องนำ/ กีตาร์) และ เบสท์- วรากร สุภาวีระ (เบส)
สำหรับเบสท์ ในฐานะผู้ก่อตั้งวงบอกว่า เขาคิดเสมอว่าเป้าหมายของวงคือการทำให้คนฟังเพลงเปิดใจกับเพลงแนวนี้มากขึ้น และนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้คนรู้จักพวกเขามากขึ้นตามไปด้วย คือเชื้อไฟที่จุดให้ความฝันของเขายังลุกโชนเสมอ ส่วนไอดอลที่เขาชื่นชอบก็คือ ฟลี (Flea มือเบสวง Red Hot Chili Peppers “มีช่วงหนึ่งที่ผมเล่นแต่เพลงของวงนี้เพื่อฝึกฝีมือตัวเองครับ”
เอ-ปกรณ์ สิทธิสมาน (กลอง)
สุดท้าย เอ – ปกรณ์ สิทธิสมาน มือกลอง เขาสารภาพว่าก่อนจะเข้าร่วมวง เขาไม่ค่อยรู้จักเพลงแนวนี้เท่าไร จนกระทั่งเบสท์ชวนเข้าวงเลยได้ฟังเพลงแนวนี้ “ก็ซึมซับมากเรื่อยๆ ครับ เพื่อนๆ ในวงก็จะคอยแนะนำนักดนตรีให้ พอผมฟังไปเรื่อยๆ อยู่กับมันทุกวันก็เริ่มชอบและอยากพัฒนาฝีมือตัวเอง ตอนนี้ผมชอบ ทราวิส บาร์คเกอร์ (Travis Barker) มือกลองวง Blink-182 ครับ ผมชอบกรูฟ น้ำหนัก และความแข็งแรงในจังหวะของเขา และความขยันฝึกซ้อมของเขาด้วย”
ใครจะรู้…เผลอๆ ตอนที่คุณกำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่ The Pump อาจจะคว้าสักรางวัลบนเวที หรืออย่างน้อยการที่พวกเขาสามารถเอาชนะใจตัวเอง ร่วมพลังล่าฝันจนผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ อาจกำลังมีวงรุ่นน้องหรือคนที่กำลังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะ “กล้าฝัน กล้าทำ” ชื่นชม และเห็นพวกเขาเป็นไอดอลอยู่ก็ได้
“อยากส่งแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่มีความฝันครับ สิ่งที่ต้องมีคือ “ความกล้า” กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเอง ไม่ผิดว่าคุณจะชอบเพลงแนวไหน จะโดนใจตลาดหรือเปล่า แสดงความรักที่มีต่อแนวเพลงนั้นๆ ถ้าคุณมีความรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเหมือนที่พวกเราทำ คุณก็เข้าข่ายคน ‘กล้าฝัน กล้าทำ’ แล้วครับ” ต้องยังบอกด้วยว่า บางครั้งการไปยืนดูวงที่เราชอบ มันก็ทำให้เกิดแรงผลักดันให้เราอยากทำฝันให้สำเร็จได้เช่นกัน “เวลาพวกเรารู้สึกท้อ ยิ่งตอนซ้อมเหนื่อยๆ ก็เชียร์อัปกันบ่อยมาก ด้วยความที่เราอยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง มองลงไปจากบนเวทีและมีคนที่ร้องเพลงเราได้ ไม่ต้องเยอะก็ได้ครับ แค่นั้นเราก็รู้สึกดี น่าจะเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้กับพวกเราทุกคนมีพลังอยากจะทำเพลงดีๆ ต่อไป”
ฮาร์ทและเอ ยังช่วยกันคุยต่ออีกด้วยว่า “ไม่ต้องคิดเยอะครับ อยากทำก็ทำเลย อะไรที่เราเลือกแล้วดีที่สุดเสมอ เราไม่รู้อนาคต แต่สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือ เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ”
“เวลาไม่เคยรอใครครับ ถ้ามีโอกาสก็ลงมือทำเลยดีกว่า ทำตอนที่เรายังมีเวลาที่จะทำมัน ถ้ามัวแต่รอถึงวันหนึ่ง มีภาระแล้ว มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต มีงานประจำต้องทำ ถึงตอนนั้นคุณจะเสียดายที่ตอนมีเวลามากมายคุณกลับนั่งดูมันหายไป” บ็อบบี้ย้ำอีกครั้ง ก่อนจะส่งต่อให้เบสท์ทิ้งท้ายว่า “ทุกอย่างต้องใช้เวลาครับ การทำความฝันก็เหมือนกัน แต่เมื่อเราตัดสินใจไปแล้ว ขอแค่อย่าหยุดทำ บางอย่างถ้าเราทำให้มันดีที่สุดแม้คนภายนอกจะมองว่าดีหรือไม่ แต่เรารู้แค่ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว และไม่เสียดายที่หลัง นั่นก็ดีที่สุดแล้วครับ”
หากจะกล่าวในฐานะวงรุ่นพี่ที่ผ่านเวทีมาแล้วก็เห็นจะได้ ยังฝากถึงคนมีฝีมือทั่วหล้าให้ออกมา ‘กล้าฝัน กล้าทำ’ พวกเขาบอกว่า โอกาสไม่ใช่ของคนพร้อมแต่เป็นของผู้กล้า! “คิดเสมอว่าทุกเวทีคือประสบการณ์ อย่ารอให้พร้อม THE POWER BAND เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้คนที่กล้าออกมาแสดงความสามารถครับ” สองกล่าวเสริมสิ่งที่เบสท์พูดว่า “ถ้ามีโอกาสก็ให้ออกมาใช้โอกาส เวทีดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อย”
ฮาร์ทเองก็เชื่อเช่นกันว่า “โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเชื่อว่าเรามีความสามารถและอยากแสดงให้ทุกคนเห็น ก็ทำเลยครับไม่ต้องคิดเยอะ” เอ สมทบอีกว่า “คุณฝึกอยู่บ้าน ฝึกกับวง แสดงบนเวทีโรงเรียนอาจจะคิดว่าพอแล้ว แต่โลกภายนอกมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ ถ้ามีเวทีที่เปิดโอกาสให้เราพิสูจน์ก็อยากให้ลอง ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ทำต่างหากคือเสียโอกาส”
“ออกมาทำโอกาสนี้เถอะครับ ไม่ต้องสนใจว่าจะเข้ารอบไหม ทุกเหตุการณ์บนเวทีมันคือประสบการณ์ล้ำค่า ที่เราหาจากไหนไม่ได้ ถ้าเราไม่ออกมาประกวด ถ้าฝันคุณคือการยืนบนเวที และมีคนที่พร้อมจะมีความสุขไปกับเสียงดนตรีของคุณ คุณยิ่งต้องเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ถึงจะเป็นบันไดให้เราไปถึงความฝันได้” ต้องกล่าวปิดท้าย
แล้วพวกคุณล่ะ? คิดว่าการเดินทางครั้งนี้ของพวกคุณอยู่ที่จุดไหนกันแล้ว?
“พวกเรายังอยู่จุดเริ่มต้นครับ วงการดนตรีประสบการณ์ต้องสะสมไม่สิ้นสุด 7 ปีของพวกเราถือว่ายังน้อยมากๆ แต่อย่างน้อยมันก็คือการเริ่มต้นที่พวกเราพอใจครับ”