Summary
• ไม่มีเขาคนนี้ไม่มี Move Records
• ไม่มีเขาคนนี้ ไม่มีอิ้งค์ วรันธร
• ไม่มีเขาคนนี้ ไม่มี INDIGO
• ไม่มีเขาคนนี้ไม่มี CLASH
• และไม่มีเขาคนนี้ไม่มีอีกหลายศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังจะแจ้งเกิด
“ผมบริหารค่าย Move Records ครับ หลักๆ ก็บริหารค่ายแล้วเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย” นี่คือคำตอบเมื่อเราถามถึง ความเป็นผู้บริหารค่ายเพลงกับ โอ๊บ – เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ
ศิลปินล่าสุดที่เขาดูแลก็มีวง INDIGO เจ้าของเพลงสุดฮิต “ถ้าฉันเป็นเขา”…มีวง เอลิส (ALIZ) ที่เป็นวงร็อกผู้หญิง นอกจากนั้นเขายังให้เวลาเป็นพิเศษกับ THE POWER BAND เวทีประกวดวงดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศ เพราะเราได้เห็นเขานั่งแท่นกรรมการในรอบสุดท้ายทุกปีมาตั้งแต่การประกวดครั้งแรกในปี 2564 อีกด้วย ในฐานะนักปั้นศิลปิน นี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งการค้นหาที่ท้าทาย
“คุยกับศิลปินคือสิ่งสำคัญ
ถ้าไม่อินผมจะคิดไม่ออก ผมก็จะไม่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร
ต้องคุยในมิติที่แม้กระทั่งพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งแฟนเขาอาจยังไม่รู้เลย
ผมถึงจะเขียนเนื้อเพลงให้เหมือนเขาพูดออกมาจากปากเขาเองได้”
เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ
โปรดิวเซอร์ – ผู้บริหารค่ายเพลง Move Records
ThaipowerCo: คุณแบ่งสัดส่วนยังไง ทั้งการเป็นผู้บริหาร ที่ดูจะไม่ใช่งานแนวเดียวกับโปรดิวเซอร์
โอ๊บ เพิ่มศักดิ์: กลางวันผมจะบริหาร ส่วนกลางคืนผมเป็นโปรดิวเซอร์ ประมาณนั้น มันสนุกทั้งคู่นะ อย่างเมื่อก่อนตอนผมเป็นโปรดิวเซอร์อย่างเดียวสมัยอยู่แกรมมี่ เราอาจคิดภาพรวมของศิลปินทั้งหมดมาได้ แต่สุดท้ายเราก็จะควบคุมแค่โพรดักชันเพลงอย่างเดียว ซึ่งส่วนอื่นเขาก็มีไอเดียของเขาในแต่ละคน เพราะฉะนั้นมันเหมือนเป็นไอเดียเรายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอทุกวันนี้เราเป็นผู้บริหารก็สร้างตั้งแต่ศูนย์มา มันจะมีภาพในหัวชัดเจนและคอนโทรลภาพนั้นได้อย่างที่เราต้องการ ทั้งไดเรกชันของศิลปิน ภาพลักษณ์ วิธีการร้อง พวกสไตล์ดนตรี มันทำให้เราสามารถที่จะเอาภาพรวมในหัวออกไปให้คนดูทั้งหมดได้
TPco: อิ้งค์ (วรันธร) เคยบอกว่าผู้ชักนำเข้าสู่มิวซิกมูฟก็คือพี่โอ๊บ
โอ๊บ: ใช่ๆ อิ้งค์เป็นเพื่อนลูกสาว ผมพามาร้องเพลง ตอนนั้นมีร้องไกด์ผู้หญิงก็บอก ‘อิ้งค์ๆ มาร้องให้น้าโอ๊บหน่อย’ อย่างเพลงก่อนมะลิบานของวง TIME ก็เอาอิ้งค์มาร้องด้วย มีของแอมมี่ THE BOTTOM BLUES ก็ด้วย สำหรับอิ้งค์ผมก็รับปากคุณพ่อคุณแม่เขาไว้ว่าให้เขาเรียนจบก่อน พอเขาอยู่ปี 4 เทอม2 ผมก็ทำเพลงสำหรับเขาเตรียมไว้เลย…เป็นเพลงเหงาเหงา
TPco: อิ้งค์เหมือนจะเป็นศิลปินที่แตกต่าง จากที่คุณโอ๊บเคยทำก่อนหน้านี้อย่าง วง CLASH หรือวง SO COOL
โอ๊บ: จริงๆ ผมจะทำแตกต่างกันหมด CLASH ก็เป็นแบบหนึ่ง SO COOL ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง SEASON FIVE ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง THE BOTTOM BLUES ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันจะไม่มีซ้ำ หรือเอิ๊ต ภัทรวีก็จะเป็นแบบหนึ่ง INDIGO ก็แบบหนึ่งอะไรอย่างนี้
ผมจะเอาศิลปินเป็นตัวตั้ง จะอยู่ที่สไตล์ศิลปินคนไหนเป็นแบบไหน อย่างอิ้งค์ผมก็มองว่า ด้วยความที่เขาเป็นหลาน ผมสนิทกับเขาตั้งแต่เขาแปดขวบ อิ้งค์นี่สนิทขนาดที่ว่าเขาไปเรียนโครงการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ออสเตรเลีย แม่เขาต้องให้ผมบินไปอยู่เป็นเพื่อน จังหวะที่เขาเหงาเขาจะร้องไห้ ผมคุยกับอิ้งค์บางทีสองชั่วโมงสามชั่วโมง คุยโทรศัพท์ต่อล้อต่อเถียงกัน คุยกันได้ ก็เลยสนิทกัน ทำให้รู้สึกว่าอิ้งค์เป็นตัวแทนของผมในเรื่องของสไตล์ดนตรี ถ้าตัวผมเลย ผมมีความเป็นซินธ์ป็อปก็เลยเอาความชอบในใจเป็นตัวตั้งผสมกับความสามารถของอิ้งค์เอง เกิดเป็นสไตล์แบบนี้ครับ
✔ ศิลปินต้องรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร
TPco: คุณสมบัติหลักในการเลือกศิลปินของคุณโอ๊บคืออะไร
โอ๊บ: คือต้องเป็นตัวจริง ผมจะไม่คุมร้องนักร้องที่ร้องเพลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ค่ายก็จะมี ETC. INDIGO หรืออะไรที่ทุกคนเก่งหมดเลย เอิ๊ต ภัทรวี อันนี้คือหลักๆ ก่อน แล้วข้อสองก็คือเขาจะต้องรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร คนที่เราส่งอะไรให้เขาชอบหมดผมจะไม่โอเค ผมกลับชอบที่รู้สึกว่า เฮ้ยอันนี้ผมไม่ชอบ ผมชอบอันนี้ มันทำให้เราทำงานง่ายกว่า ถ้าไม่ส่งเพลงไปให้แล้วชอบหมด วันหนึ่งเขาไปฟังเพื่อนมาอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี ก็จะเกิดการไม่ชอบละ เราต้องให้ทุกคนแฮปปีด้วย
Suggestion
TPco: อะไรความสุขในการทำงานร่วมกับผู้คนที่แตกต่าง
โอ๊บ: มันคือการที่เราได้ทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำอะไรที่แตกต่างตลอดเวลา อย่างวันที่ผมทำเพลงเลี้ยงส่ง มันก็เป็นอีกฟิลลิ่งหนึ่งจากที่ผมเคยทำ CLASH มา ในวันนี้ผมทำเพลงเลี้ยงส่งออกมาเป็นอีกสไตล์หนึ่ง เราชอบนะ รู้สึกดีกับเพลงแล้วก็ทำมันออกมาดีได้ เหมือนทำเพลงให้เอิ๊ต ภัทรวี ผมก็มองเขาว่าเป็นน้องนุ่มนิ่มน่ารัก เป็นคนที่สามารถร้องเพลงเศร้าได้เพราะ ก็ดึงจุดเด่นเขาออกมา
✔ ทำงานกับศิลปินต้องทำตัวให้ up to date
TPco: หาจุดดึงของศิลปินแล้วเอาตรงนั้นมาใช้?
โอ๊บ: ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งของเขา ผมเอามาใช้หมด ผมเรียนรู้ชีวิตศิลปินทุกคน ในเบื้องลึกเลยยิ่งกว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาอีก ผูกพันกับศิลปินมากครับ ถ้าไม่อินผมก็จะคิดไม่ออก ผมก็จะไม่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ผมต้องคุยกับเขาเยอะมาก คุยในมิติที่แม้กระทั่งพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งแฟนเขาอาจยังไม่รู้เลยว่าตัวจริงเขาเป็นแบบนั้น ต้องคุยในมิตินั้นเลย ผมถึงจะเขียนเนื้อเพลงได้ เพราะแต่ละคนภาษาที่ใช้จะไม่เหมือนกันเนอะ ผมก็ต้องเข้าไปเรียนรู้จิตใจถึงความคิดของเขา ตรรกะของเขาเป็นยังไง ผมถึงจะเขียนเนื้อเพลงให้เขา ต้องเขียนให้มันเหมือนเขาพูดออกมาจากปากเขาเอง ฉะนั้นการคุยกับศิลปินคือสิ่งสำคัญ ต้องให้เวลาเขา นัดเจอกันอาทิตย์ละครั้ง มาคุยกัน มาทำเพลงกัน
TPco: ทำตัวเองให้อัปทูเดตยังไงคะ เพราะทำงานกับศิลปินหลายรุ่น
โอ๊บ: ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมแก่ ตอนมีลูกผมก็สามสิบแล้วนะ ผมรู้สึกว่าเรายังเด็กกว่าลูกอยู่เลย ผมยังเล่นกับเด็กสิบห้าได้รู้เรื่อง ถึงบอกไงว่าวันที่เจ้าอิ้งค์แปดขวบผมก็ยี่สิบกว่านะ ยี่สิบห้ายี่สิบหก ยังคุยกันสามชั่วโมง คือผมรู้สึกว่าเราคุยกับเด็กรู้เรื่องมากกว่าคุยกับผู้ใหญ่ ผมยังอ่านการ์ตูนที่เขาอ่าน ยังเล่นเกมที่เขาเล่น ผมยังมีไลฟ์สไตล์ที่มันไปเฉี่ยวกับเขาอยู่ เลยทำให้รู้สึกว่าอายุมันไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ที่ทำให้เราเข้าใจเขา ยังคุยกับเขารู้เรื่อง เขายังอินกับคำพูดของเราได้
ผมตั้งกฎตัวเองไว้ว่าผมต้องดูหนังให้ได้สองเรื่อง…หนังอะไรก็ได้ เพื่อที่จะเก็บคอนเทนต์ แล้วผมก็ต้องฟังเพลงให้ได้สิบเพลง เพื่อที่เราจะได้รู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
TPco: ที่มาของมีเพลงไหน ถ้าได้รู้แล้วจะ..ฮู้ว
โอ๊บ: จริงๆ มีเยอะ อย่างเพลง “ถ้าฉันเป็นเขา” (INDIGO) แรงบันดาลใจมาจากน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จัก มาจากเรื่องจริง
✔ การเขียนเพลง-ทำศิลปินไม่เคยเป็นเรื่องยาก
เมื่อมีมุมมองและความรักในดนตรีอยู่ในตัว
TPco: ตอนเด็กๆ มีฝันของตัวเองไหมคะ ว่าจะขึ้นไปเล่นดนตรีบนเวที
โอ๊บ: ผมฝันว่าผมอยากทำเพลงมากกว่านะ ผมมีเครื่องดนตรีชิ้นแรกตอนอายุประมาณสองขวบ เป็น เมโลเดียน แล้วรู้สึกว่าพอเราได้มาเล่น…มันก็ไม่ยากนี่หว่า ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีผมก็เป่าเพลงชาติได้แล้ว ไม่ต้องมีใครสอน ผมรู้สึกว่าหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปด อ๋อเสียงมันเรียงกันประมาณนี้ แล้วผมก็เป่าได้เลย…ผมคิดว่าทุกคนก็ทำอย่างนั้นได้
ตอนไปเรียนดนตรี ผมก็คิดว่าผมเรียนได้ A ตลอด เพราะผมมองปราดเดียวก็ ‘อ๋อมันก็แค่นี้เอง’ ก็คิดว่าทุกคนก็คิดเหมือนเรา แม้กระทั่งตอนที่ผมมาอยู่แกรมมี่ตอนเป็นโปรดิวเซอร์แล้วด้วย ผมก็ยังคิดว่าทุกคนก็คงได้ยินเหมือนเรามั้ง จนสุดท้ายเอ๊ะ มันไม่เหมือนกันนี่หว่า เราได้ยินมากกว่าเขา เลยรู้สึกว่าเขียนเพลงทำศิลปิน…เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมเสมอ มันไม่เคยยากเลย
TPco: คุณมองวิถีดนตรีตอนนี้ยังไงบ้าง
โอ๊บ: ผมว่ามันหลากหลายขึ้น ทั้งไดเรกชัน ช่องทาง แล้วก็วิธีการโพรโมต มันไม่จำเป็นต้องอยู่กับค่ายก็ดังได้ แล้วแต่ว่าคุณมีต้นทุนแค่ไหน คุณมีความสามารถแค่ไหน (ยากกว่าเดิมไหม) ผมว่าง่ายกว่าเดิมเยอะเลย ง่ายกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อก่อนจะออกอัลบั้มที ถ้าไม่เก่งจริงไม่มีทาง เดี๋ยวนี้ด้วยเทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างง่ายหมดเลย ต้นทุนมันถูก เมื่อก่อนห้องอัดเป็นล้าน เดี๋ยวนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่หมื่น
✔ ค่ายมองหาความเป็นตัวเอง
ในตัวคนที่จะปั้นให้เป็นศิลปิน
TPco: มองหาอะไรในศิลปินรุ่นใหม่ๆ บ้าง
ผมมองหาความเป็นตัวเองของทุกคนเสมอฮะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม ใครที่เป็นตัวของตัวเองแล้วไม่ได้เลียนแบบใครอันเนี่ยผมจะชอบมากแค่นั้นเลยครับ
TPco: ตอนเป็นกรรมการตัดสิน THE POWER BAND 2023 SEASON 3 ที่เป็นเวทีเฟ้นหาศิลปินคุณภาพคุณโอ๊บรู้สึกยังไงบ้าง
โอ๊บ: ทีแรกผมนึกว่า Class A (ระดับมัธยม) จะหนักใจน้อยกว่า Class B ที่เป็นรุ่นที่โอเพ่น เอาเข้าจริงไม่น่าเชื่อว่าเด็กน้อยสมัยนี้ตั้งแต่อายุ 13 14 15 เก่งจนไม่น่าเชื่อ ทุกคนมีสำเนียง ลีลา ไม่แพ้ผู้ใหญ่ นี่คือเวทีแข่งขันที่ผมเอาอายุมาตัดสินไม่ได้เลย ทำให้ผมประทับใจ…ไม่เหมือนมาตัดสินแต่รู้สึกเหมือนมาเสพโชว์ดีๆ มาเติมพลังชีวิตให้ตัวเองมากกว่า
TPco: เห็นว่าจีบวง SG Band หนึ่งในผู้เข้าประกวดจาก THE POWER BAND 2023 SEASON 3 ไว้แล้วด้วย
โอ๊บ: วงนี้ตอนเขาซาวนด์เช็ก ผมกำลังนั่งเขียนคะแนนของวงที่ผ่านไปก่อนหน้า พอได้ยินเสียงร้องปุ๊บเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นแค่เงายังหันไปบอกพล เออน่าสนใจนะ แล้วพอไฟมา ได้เห็นเพอร์ฟอร์ม ความเป็นฟรอนต์แมนของนักร้องนำ คือไม่ใช่นักร้องทุกคนจะเป็นฟรอนต์แมนได้นะ เพราะต้องดึงพลังจากเพื่อนๆ ดึงพลังจากผู้ชมไปสู่ผู้คนได้ ผมชอบ รู้เลยว่าสามารถพัฒนาเขาต่อไปได้
TPco: มองชีวิตไปไกลๆ คิดว่าตัวเองจะอยู่ตรงไหน
โอ๊บ: ผมมองแค่ว่าผมอยากจะสร้างคนไปเรื่อยๆ แค่นี้เอง เรารู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างศิลปินใหม่ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเลย จริงๆ ผมเกษียณเลยก็ได้ถ้าเราไม่สนุก ก็เลิก แค่เรายังสนุกอยู่ ตอนนี้ทุกวันมันไม่ได้ทำเพื่อเงินละ แต่ทำเพื่อที่จะรู้สึกว่าเราผ่าคลอดศิลปินมาเยอะมาก แล้วอยากจะผ่าคลอดไปอีกเรื่อยๆ อะ อยากจะทำอะไรออกมาถึงได้ทำ Zolar บอยแบนด์ 13 คนออกมาลองดู
TPco: ถ้าพูดถึงคุณโอ๊บจะนึกถึงเพลงนี้เป็นเพลงแรก
โอ๊บ: สมมติคนเปิดไปเจอขอเช็ดน้ำตา ก็จะมีคนส่งมาให้ผม เพราะผมก็ทำ หรือไปเจอ วันทูทรีโฟร์ไฟฟ์ ก็ส่งมาให้ผม มันเยอะมาก เหมือนกับว่าเพลงดังของทุกๆ ศิลปิน ส่วนใหญ่คนฟังแล้วจะนึกถึงผมเพราะผมเป็นคนทำให้ ถ้าเหลือเพลงเดียวนึกไม่ออก เป็นคนที่มี “ลูก” เยอะมาก
มั่นใจว่าจบจากการพูดคุยกันวันนี้ผู้ชายคนนี้ ก็จะยังคงค้นหาและสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆให้กับวงการดนตรีอย่างไม่หยุดยั้ง เหมือนที่เขาบอกไว้แน่นอน
สิ่งสำคัญในการ “ปั้นศิลปิน” แบบคุณโอ๊บ-เพิ่มศักดิ์
✔ศิลปินต้องรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร
✔ทำงานกับศิลปินต้องทำตัวให้ up to date
✔ค่ายมองหาความเป็นตัวเองในตัวคนที่จะปั้นให้เป็นศิลปิน
✔การเขียนเพลง-ทำศิลปินไม่เคยเป็นเรื่องยาก เมื่อมีมุมมองและความรักในดนตรีอยู่ในตัว