“ภูเก็ต” หรือ “ไข่มุกอันดามัน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลก ด้วยเสน่ห์ในธรรมชาติ ทั้งทะเลและชายหาดอันสวยงาม รวมไปถึงเอกลักษณ์ในวัฒนธรรม อาคารสิ่งก่อสร้าง และอาหารเลิศรส
เมื่อมาเยือนภูเก็ต สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไทยและเทศพลาดไม่ได้ก็คือ “ของฝาก” สำหรับติดไม้ติดมือกลับไปฝากเพื่อนพ้อง ครอบครัว และคนรัก ในบรรดาของฝากขึ้นชื่อ คือ “มะม่วงหิมพานต์” และหนึ่งในร้านของฝากชื่อดังของภูเก็ตย่อมต้องมี “เมธีภูเก็ต” ต้นตำรับมะม่วงหิมพานต์ระดับพรีเมียม ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาเนิ่นนานรวมอยู่ด้วย
มะม่วงหิมพานต์หรือที่เรียกกันในแต่ละท้องถิ่นว่า กาหยู กาหยี ม่วงเล็ดล่อ หัวครก ฯลฯ เป็นพืชพื้นเมืองที่นิยมปลูกกันทั่วไปในภูเก็ต ทั้งยังสามารถพบได้ในอีกหลายจังหวัดทางภาคใต้ สำหรับภูเก็ตนั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตมะม่วงหิมพานต์ที่มีคุณภาพ ด้วยภูมิอากาศรวมทั้งแร่ธาตุในดินทำให้มะม่วงหิมพานต์มีเอกลักษณ์ที่เนื้อแน่น หวาน และมัน
ในอดีตมะม่วงหิมพานต์มักพบเห็นได้ในแทบทุกบ้านของภูเก็ต นอกจากจะปลูกไว้บริโภคในครัวเรือนแล้ว ผลผลิตที่เหลือสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าได้
และเมื่อ 50 ปีที่แล้ว คุณเมธี – คุณบุญมา จตุเมธเมธี ได้เล็งเห็นว่า มะม่วงหิมพานต์จะกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต จึงผันตัวเองจากลูกจ้างช่างทองมาทำโรงงานผลิตมะม่วงหิมพานต์อบขาว ภายหลังเมื่อภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัว คุณเมธีจึงหันมาผลิตมะม่วงหิมพานต์แปรรูปพร้อมรับประทานเพื่อเพิ่มมูลค่าและจำหน่ายในร้านของฝาก
ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนา มะม่วงหิมพานต์ของเมธีภูเก็ตกลายเป็นของฝากขึ้นชื่อแสนอร่อยและมีคุณภาพ ด้วยความใส่ใจในการผลิตทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน สะอาด ถูกหลักอนามัย ทำให้ได้รับความเชื่อถือและการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่นักท่องเที่ยวไทยและเทศ
ตำนานผู้ยังมีชีวิต จุดเริ่มต้นของแหล่งของฝากภูเก็ต
ปัจจุบัน คุณเมธี – คุณบุญมา ในวัยใกล้ 90 ยังคงเป็นตำนานที่มีชีวิตแห่งร้านเมธีภูเก็ตดั้งเดิมบนถนนติลกอุทิศ 2 ส่วนสาขา 2 และโรงงานอยู่บนถนนสุรินทร์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมี คุณอาภา วราภิวัฒนกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เมธีภูเก็ต จำกัด ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานช่วยดูแลกิจการมานานเกือบ 20 ปีแล้ว
หากย้อนกลับไปดูเส้นทาง 5 ทศวรรษของเมธีภูเก็ต อาจเรียกได้ว่า ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ “คุณลุงเมธี คุณป้าบุญมา” เริ่มต้นมาจากศูนย์ ด้วยไม่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ในการแปรรูปมะม่วงหิมพานต์ มีเพียงความมุ่งมั่นตั้งใจที่อยากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรภูเก็ต และสายตามองการณ์ไกลไปถึงความต้องการในตลาดโลกของมะม่วงหิมพานต์
“คุณลุงและคุณป้าต้องเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดที่มีคุณภาพ เมล็ดที่ดีต้องมีน้ำหนักดี มีความสมบูรณ์ของเมล็ด ถ้าได้เมล็ดอ่อนมาก็จะไม่สวย เวลาซื้อเป็นเมล็ดแข็งมา ต้องคัดให้ได้คุณภาพ” คุณอาภาเล่า
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ที่ต้องกะเทาะเปลือกหุ้มเมล็ดออกก่อนนำมาแปรรูป ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่ง่าย ต้องอาศัยเครื่องมือและความชำนาญ หากต้องการอยากให้เมล็ดออกมาเต็มเมล็ดสวย
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ คุณเมธีคิดออกแบบและสร้างเครื่องกะเทาะเปลือกแข็งขึ้นมา เพื่อที่จะ “สามารถกะเทาะเปลือกได้เร็ว กะเทาะแล้วเมล็ดมะม่วงที่อยู่ข้างในไม่แตก ได้เมล็ดเต็ม เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
“คุณลุงคุณป้าบอกว่า ทำทั้งหมดมาด้วยน้ำตาจริงๆ เพราะท่านไม่มีความรู้ แต่มีความปรารถนาและความตั้งใจที่จะทำ”
ช่วงแรกเมธีภูเก็ตผลิตเฉพาะมะม่วงหิมพานต์อบขาวส่งไปขายตลาดเยาวราชในกรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยในยุคสมัยนั้น มะม่วงหิมพานต์ส่วนใหญ่ต้องนำเข้ามาจากอินเดีย “เรานับเป็นเจ้าแรกๆ ในไทยที่ผลิตมะม่วงหิมพานต์อบขาว” ซึ่งเป็นสินค้าขายดีชนิดที่ “ทำเท่าไรก็ไม่พอขาย”
เป็นที่นิยมเพราะของดีไม่เหมือนใคร
ของดีทีเด็ดของภูเก็ต
ในเวลาต่อมาเมื่อภูเก็ตกลายเป็นเมืองอสังหาริมทรัพย์และเมืองท่องเที่ยว มีผลให้พื้นที่ในการปลูกมะม่วงหิมพานต์ลดน้อยลง เมธีภูเก็ตจึงรับซื้อเมล็ดมะม่วงจากจังหวัดเพื่อนบ้าน เช่น กระบี่ ระนอง ฯลฯ ซึ่งดินมีทรัพยากรแร่ธาตุใกล้เคียงกันกับภูเก็ตจึงให้ผลผลิตที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน
“มะม่วงหิมพานต์จากพื้นที่ทางฝั่งอันดามันมีความหวานในตัวเองและที่สำคัญคือเนื้อแน่น”
ช่วงปี 2530 นอกจากจะขายส่งมะม่วงหิมพานต์อบขาวแล้ว เมธีภูเก็ตยังริเริ่มการแปรรูปมะม่วงหิมพานต์พร้อมรับประทานเพื่อเพิ่มมูลค่า อีกทั้งยังได้เปิดโรงงานเพื่อแสดงกระบวนการผลิตมะม่วงหิมพานต์ให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดภูเก็ตได้ชมด้วย
ผลจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สินค้าของเมธีภูเก็ตถูกเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์โอทอป ซีเล็คท์ (OTOP Select) โดยการคัดสรรจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับได้ขยายช่องทางการเข้าถึง โดยมีวางจำหน่ายที่คิง เพาเวอร์ ด้วย “ตอนนั้นยอมรับว่า เรายังขาดประสบการณ์ในเรื่องการตลาด เพราะเราขายเฉพาะหน้าร้านตัวเอง ซึ่งทางคิง เพาเวอร์ ได้เป็นเหมือนพี่เลี้ยงในเรื่องของการตลาดและการผลิตสินค้าให้เรา”
แบรนด์เมธีภูเก็ตไม่เคยหยุดนิ่งโดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น โดยคุณอาภาได้เรียนรู้เพิ่มเติมในหลากหลายด้านรวมทั้งการออกแบบบรรจุภัณฑ์ “อยากให้สินค้าของเราเป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ต เลยคิดคอนเซปต์บรรจุภัณฑ์ของเราว่าเป็น Cashew Nut of Phuket แบบพรีเมียม ใช้ภาพวาดมะม่วงหิมพานต์กับแหลมพรหมเทพ สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับโลก”
Suggestion
ใส่ใจเรื่องสุขภาพมาอันดับหนึ่ง
หัวใจหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มะม่วงหิมพานต์ของเมธีภูเก็ตได้การยอมรับ คือ การใส่ใจในเรื่องของสุขภาพผู้บริโภค
“มีผลการวิจัยระบุว่า ถ้ารับประทานมะม่วงหิมพานต์วันละประมาณ 30 กรัมหรือหนึ่งกำมือจะดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นแหล่งของโปรตีนที่ดี เราเลยคิดทำบรรจุภัณฑ์เป็นซองอลูมิเนียมบรรจุ 15 กรัม หนึ่งวันรับประทาน 2 ซองก็จะดีต่อสุขภาพ เป็นซองที่ทำให้รับประทานง่าย
“เมื่อก่อนคนอาจจะคิดว่า รับประทานมะม่วงหิมพานต์แล้วไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ของเมธีภูเก็ตเราใช้กระบวนการอบ 100% ไม่ทอด ไม่มีน้ำมัน ไม่มีคอเลสเตอรอล ไม่มีไขมันทรานส์” ทางเมธีภูเก็ตได้ตรวจวิเคราะห์ฉลากโภชนาการ “เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่า ของเราไม่มีคอเลสเตอรอลจริงๆ บรรจุภัณฑ์ของเราเก็บได้นานถึงหนึ่งปี ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บได้ ไม่เหม็นหืน”
เส้นทาง 5 ทศวรรษของเมธีภูเก็ตนั้นดำเนินมาโดยยึดแนวคิดของคุณลุงคุณป้า ซึ่งสะท้อนออกให้เห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน “คุณลุงคุณป้าคิดว่าของเรายังไม่ดีพอ ทำให้ต้องมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม และเกิดการเรียนรู้ เราก็เดินตามเจตนารมณ์ของท่าน เพื่อทำให้ลูกค้าคนภูเก็ตเชื่อถือและมีความภาคภูมิใจ ลูกหลานเองก็จะต้องสืบเนื่องต่อไป”
ความไม่หยุดนิ่งของเมธีภูเก็ตในทางหนึ่งเห็นได้จากการสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีหลากหลายรสชาติเพื่อรสนิยมของทุกคน
“มะม่วงหิมพานต์แปรรูปของเมธีภูเก็ตมีอยู่ประมาณเกือบ 20 รสชาติ ทั้งรสธรรมชาติ รสเค็ม รสงา รสต้มยำ รสวาซาบิ ฯลฯ เราพยายามปรับปรุงสูตรตามเทรนด์ของลูกค้า แต่ที่สำคัญคือ เรามีความต่างในเรื่องของการแปรรูป อย่างเช่น รสธรรมชาติเรามีกลิ่นหอมอร่อยจากมะม่วงหิมพานต์สดใหม่ เนื้อแน่น หวาน มัน
“รสเค็มเราพัฒนาโดยการใช้เกลืออบลงไปในตัวเมล็ด จะแค่เค็มปะแล่ม เค็มทั่วทั้งเมล็ด ถ้าเป็นรสงา เราจะเคลือบงาเต็มเมล็ด เราจะอบงาจนหอมก่อน แล้วค่อยมาเคลือบเมล็ดซึ่งมันจะยากกว่า
“ส่วนรสต้มยำ เราใช้สมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ซึ่งต่างชาติรู้จัก เช่น ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ พริก ฯลฯ เราทำเอง ไม่ได้ใช้สารปรุงรส จึงแตกต่างจากแบรนด์อื่น พอรับประทานแล้วจะได้กลิ่นสมุนไพรธรรมชาติ รสชาติจัดจ้าน เป็นสูตรของเมธีภูเก็ต
“รสวาซาบิของเราเคลือบตัวเมล็ดโดยไม่ต้องผ่านแป้ง เป็นเมล็ดมะม่วงกับวาซาบิ ซึ่งขายดี”
ไม่ว่าจะรสชาติใด มะม่วงหิมพานต์ที่ติดตราเมธีภูเก็ตจะเหมือนกันคือ ถ้าได้เริ่มแล้วหยุดยาก ! “รับประทานแล้วจะหยุดไม่ได้ เมล็ดมะม่วงของเราไม่มีความชื้น กรอบ นุ่ม ได้อรรถรส เป็นสูตรเฉพาะของเมธีภูเก็ต ทุกโนฮาว ทุกขั้นตอน” คุณอาภากล่าว
เน้นด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด
ขณะที่โรงงานผลิตความมันหยุดไม่ได้ของเมธีภูเก็ตซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กลางใจเมืองได้รับการดูแลเป็นอย่างดี “ตอนนี้ภูเก็ตเป็นพื้นที่สีเขียว” ไม่มีการสร้างโรงงานใหม่เพิ่ม เมธีภูเก็ตที่เกิดขึ้นมาก่อนจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่โรงงานที่อยู่กลางภูเก็ต โดยได้ดำเนินตามมาตรฐาน GMP ควบคุมตั้งแต่ที่ตั้งของโรงงาน กระบวนการผลิตของโรงงาน ไปจนถึงบุคลากรภายในโรงงาน เพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างปลอดภัย ได้ผลผลิตที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
การดูแลสิ่งแวดล้อมของโรงงานทำให้เกิดระบบบำบัดน้ำเสีย มีการตรวจค่าน้ำเสีย การกำจัดขยะต่าง ๆ ตามมาตรฐานกระทรวงอุตสาหกรรม โดยทางอุตสาหกรรมจังหวัดได้เข้ามาช่วยในการพัฒนาโรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต สร้างมาตรฐานสินค้า ลดการสูญเสียต่างๆ ที่เกิดจากกระบวนการการผลิต ทำให้เมธีภูเก็ตได้รับการคัดเลือกเป็นสถานประกอบการดีเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“โรงงานเรามีจำนวนคนไม่เยอะ แค่ 10 กว่าคน เพราะเรานำเทคโนโลยีมาใช้พอสมควร เพื่อให้ผลิตได้ปริมาณมากและมีคุณภาพที่ดีอย่างสม่ำเสมอ”
ในช่วงโควิด-19 ระบาด พื้นที่โรงงานซึ่งเคยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมกระบวนการผลิตนั้นจำต้องยุติลง “พอนักท่องเที่ยวไม่มา เราเลยต้องปรับเปลี่ยนตัวเองพอสมควร หันไปทำตลาดออนไลน์ เราตั้งใจทำ คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียให้โดนใจลูกค้า ศึกษาวิธีการ รวมทั้งกลยุทธ์ในการขายตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง
“พอเจอโควิด-19 เราก็ถือเสียว่า เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เมธีภูเก็ตเจอมาหลายเรื่อง ทุกอย่างที่เราเจอนอกจากจะเป็นวิกฤตแล้วก็ยังเป็นโอกาสให้เราได้ก้าวเดินต่อไป อย่างเช่น ก่อนเกิดโรคซาร์ส มะม่วงหิมพานต์ของเราใช้วิธีทอดน้ำมัน พอเกิดโรคซาร์สนักท่องเที่ยวหายหมด เราเลยรู้ว่าสินค้าเก็บไม่ได้ ถึงแม้จะใช้บรรจุภัณฑ์อย่างดี จึงมาศึกษาเรื่องการอบ”
Suggestion
อร่อย…เป็นของดีทีเด็ดจากภูเก็ตด้วยความภูมิใจ
สิ่งที่เมธีภูเก็ตยึดมั่นเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ คือ การมอบความจริงใจกับลูกค้า “เราต้องรักษาคุณภาพสินค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ใส่ใจในเรื่องของความสะอาด ถูกสุขลักษณะ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เพื่อให้เกิดความเชื่อถือความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วก็จะต้องมุ่งมั่นในการสร้างงานและรับคำติชมของลูกค้า แม้หนึ่งคำติชมก็ถือว่าเป็นอาจารย์ เป็นสิ่งที่สอนให้เราต้องพัฒนาปรับปรุง
“ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ ด้วยจิตสำนึกในบุญคุณของลูกค้า เรารู้สึกว่าเราต้องพัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ทั้งงานผลิต งานบริการก็ต้องเข้าถึงลูกค้าด้วยเซอร์วิสมายด์ที่ดี”
ที่ผ่านมา “รางวัลต่างๆ ที่ได้รับก็เป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่ง เป็นการการันตีว่าเราทำได้ดีในระดับหนึ่ง เป็นที่ยอมรับ เราได้โอทอป 5 ดาวตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องรักษาให้ยั่งยืน เป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพให้กับผู้บริโภค”
ในฐานะทายาทของเมธีภูเก็ต คุณอาภารู้สึกว่า “โชคดีที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณลุงและคุณป้า ซึ่งไม่สามารถหาได้ในมหาวิทยาลัย แต่เราหาได้จากชีวิตของคนจริงๆ ที่ประสบความสำเร็จจากสองมือและความคิดของท่านที่มีมุมมองของผู้นำมาแต่แรก”
เป้าหมายในอนาคตของเมธีภูเก็ต “เรายังต้องเน้นวิสัยทัศน์ในเรื่องของการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์มะม่วงหิมพานต์ที่มีคุณภาพมาตรฐานตามสากล ยังพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก
“เวลาได้ยินคนพูดว่า มาภูเก็ตต้องซื้อของฝากที่เมธีภูเก็ต เรามีความภาคภูมิใจ เพราะที่ผ่านมาได้สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนภูเก็ตด้วยการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร กลายเป็นร้านของฝากในระดับต้นๆ ของจังหวัด และเป็นแบรนด์ของภูเก็ตที่ภาคภูมิใจ”
และวันนี้ เมธีภูเก็ต ยังยืนยันที่จะสร้างให้ตำนานมะม่วงหิมพานต์ระดับพรีเมียมแห่งเมืองไข่มุกอันดามันยังคงดำเนินต่อไป
เมธีภูเก็ต (METHEE PHUKET)
ที่ตั้ง : 9 ดิลกอุทิศ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000
Facebook: METHEE PHUKET
ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมที่ตลาดพลังคนไทย
คลิก: METHEE PHUKET
สนใจสินค้าพลังคนไทย สามารถสนับสนุนได้ที่คิง เพาเวอร์ทุกสาขา
ปักหมุดจุดเช็คอิน-แชะรูป-ท่องเที่ยวใกล้เคียง
• ย่านการค้าเมืองเก่าภูเก็ต ชมตึกย่านตลาดเก่า สัมผัสเสน่ห์สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส ชิมขนมโบราณ ซื้อของฝากในชุมชนที่หล่อหลอมหลากวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน
• แหลมพรหมเทพ หนึ่งในจุดชมอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในเมืองไทย มีเสน่ห์ดึงดูดทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูร้อนที่มีทุ่งหญ้าสีทองเป็นแบ็คกราวด์ให้ถ่ายภาพ สายชิมไม่ควรพลาดปลาหมึกย่างและไอศรีมกะทิขึ้นชื่อ
• หอชมวิวเขาขาด จุดชมวิวแห่งใหม่ของภูเก็ต เป็นหอชมวิวที่สามารถมองเห็นภูเก็ตได้ 360 องศา ทั้งเกาะแก่ง ภูเขา บ้านเรือน ฯลฯ ระหว่างทางชมทิวทัศน์ของอ่าวยนซึ่งมีเรือยอร์ชจอดเรียงราย